ภาพยนตร์

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

รักแห่งสยาม(สแควร์) ความรักไม่ทั่วราชอาณาจักร

ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ ระหว่างคนสองคน เมื่อความรู้สึกนั้นมันบังเกิดขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจของทั้งคู่แล้วมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะส่งถึงความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ อาจไม่ต้องออกมาเป็นคำพูดหรือตัวอักษร เพียงแต่ส่งความรู้สึกผ่านสื่อกลางไม่ว่าจะเป็นภาษากายธรรมดาอย่างการสบสายตา การสัมผัสกายโอบกอด หรือแม้แต่ผ่านห้วงทำนองของดนตรี ก็ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งเข้าถึงก้นบึ้งแห่งความรู้สึกได้อย่างถ่องแท้แน่นอนว่าความรักเป็นความรู้สึกสากล การสื่อความรู้สึกนี้ผ่านทางสื่อภาพยนตร์ที่มาพร้อมเทคนิคทางภาพ สรรพเสียงและดนตรีที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ไม่ยากจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังที่ว่าด้วยความรักและความสัมพันธ์ของครอบครัวไทยร่วมสมัยเรื่องนี้ จะได้จำนวนผู้ชมไปไม่น้อย และอีกเหตุผลหนึ่งนั่นคือ เนื้อหาของภาพยนตร์เองก็ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับในด้านบวก ทั้งยังเกิดการชักชวนกันไปชมแบบปากต่อปากอีกด้วย

‘รักแห่งสยาม’ ภาพยนตร์ลำดับที่สามของ มะเดี่ยว - ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับฯและผู้เขียนบทภาพยนตร์ ที่วิวัฒนาการมาจากนักทำหนังสั้น จนสามารถนำหนังสั้นขนาดยาวเรื่อง ‘ลี้’ ผลงานวิทยานิพนธ์ก่อนจบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่ง ยืนโรงฉายแบบจำกัดและลาโรงไปอย่างเงียบเชียบเมื่อปี 2546 ถือว่าเขาสามารถสร้างคลื่นปรากฏการณ์ของวงการหนังสั้นได้ระลอกหนึ่ง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีคลื่นลูกใหม่สร้างปรากฏการณ์แบบนี้ได้อีกเลย

หลังจากที่แจ้งเกิดในโรงภาพยนตร์แล้ว เขายังสร้างผลงานอย่างต่อเนื่องในต่อมาเรื่อง ‘คน ผี ปีศาจ’ ในปี 2549 เรื่อง ‘12’ และ ’13 เกมสยอง’ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลทั้งในและนอกประเทศ ยังเดินสายฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ทั่วโลก เช่น สเปน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา เกาหลี เป็นต้น รับงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ‘บอดี้ศพ#19’ ให้กับจีทีเอช ซึ่งถือว่าเป็นบทที่มีความลงตัวของเนื้อเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ค่อยถูกกับรสนิยมของผู้ชมซึ่งต้องการชมหนังผีที่ไม่ต้องสมจริงถูกต้องตามตรรกะมากขนาดนั้น
‘รักแห่งสยาม’ ถือเป็นการฉีกแนวเรื่องจากผลงานที่ผ่านๆมาของเขา แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายังคงไว้เป็นเอกลักษณ์นั่นคือ การมองสังคมด้วยสายตาของเขาแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นบทภาพยนตร์ที่หนักแน่นด้วยความสมจริงสมจังไม่ขัดความรู้สึกของผู้ชม ซึ่งเขายังรักษามาตรฐานการเขียนบทเอาไว้ได้อย่างดีและดูเหมือนว่าการสร้างมิติของตัวละครของเขาจะพัฒนาขึ้นด้วยซ้ำ หรืออาจเป็นเพราะว่าตัวละครเหล่านี้คือชีวิตของเขาเองก็เป็นได้ อย่างที่เขาพูดถึง ‘รักแห่งสยาม’ ในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 72 เดือนพฤศจิกายน 2550 ว่า

“ผู้กำกับฯทุกคนอยากทำหนังที่ได้เล่าเรื่องตัวเองสักเรื่อง และวันนี้เรามีโอกาสได้ทำแล้ว”


แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องยกความดีความชอบให้กับผลงานบทเรื่องนี้ให้มะเดี่ยวในฐานะผู้เขียนบท ที่สามารถทำให้ผู้ชมเชื่อได้ว่า ตัวละครอย่าง ‘โต้ง’ (มาริโอ้ เมาเร่อ) นั้นมีความสับสนแบบนั้นขึ้นในจิตใจได้จริง หรือแม้ความเหงาของ ‘มิว’ (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล) ก็มีอยู่จริงและสัมผัสได้ แต่อาจจะขาดเรื่องการคัดสรรตัวแสดงที่มารับบทโต้ง เนื่องจากหน้าตาและผิวพันธุ์แบบลูกครึ่ง ซึ่งไม่ละม้ายคล้ายกับตัวละครพ่อ’กรณ์’ และแม่ ‘สุนีย์‘ ที่รับบทโดย ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี และ สินจัย เปล่งพานิช สักเท่าไรจึงกลายเป็นจุดด้อยของหนังไป

โครงสร้างของหนังเน้นไปที่เรื่องราวของครอบครัวโต้งและมิว โดยมีตัวละครอย่าง จูน (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์), หญิง (กัญญา รัตนเพชร์), โดนัท (อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์) และกลุ่มเพื่อนเข้ามาทำให้เรื่องราวกระจายออกไปกลายเป็นหนังหลากหลายชีวิต จนเมื่อแต่ละตัวละครต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านทางความสัมพันธ์ เรื่องราวเข้ามาร้อยรัดเกี่ยวโยงถึงกันจึงทำให้หนังที่ออกมาอย่างมีความเป็นเอกภาพ
ต้องยอมรับถึงความสามารถทางการแสดงของนักแสดงทุกคน ซึ่งผู้กำกับฯเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักแสดงทุกคนแสดงบทบาทออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้แต่นักแสดงสมัครเล่นในบทกลุ่มเพื่อนของทั้งโต้งและมิวก็ช่วยรับส่งการแสดงกันอย่างดี ตัวละครที่ผู้รับบทมีการแสดงดีเด่นคือ ‘สุนีย์’ โดยธรรมชาติของตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่มีการแสดงน้อยแต่ต้องส่งอารมณ์มากมายให้ผู้ชม คุณสินจัยก็ส่งผ่านอารมณ์ผ่านทางสายตา สีหน้า ท่าทาง ได้ออกมาอย่างชัดเจนและถึงบทบาท
และอีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นใน ’รักแห่งสยาม’ คือบทเพลงที่มะเดี่ยวเป็นผู้เขียนขึ้นเพื่อสื่อความคิดของมิวไปยังโต้ง บรรยายความเป็นไปของครอบครัวโต้ง นอกจากนั้นมันยังทำหน้าที่สื่อความโดยตรงกับผู้ชมอีกด้วย การสอดแทรกเพลงเข้ามาในเนื้อหนังก็ทำได้อย่างแนบเนียนโดยไม่รู้สึกว่าเยิ่นเย้อเกินไปเลย เนื้อเพลงไม่ได้เป็นเรื่องรักใคร่ทั่วไปเพียงแค่นั้นหากแต่แฝงแง่คิดในด้านความรัก ความสัมพันธ์ การใช้ชีวิต เช่นในเพลง ‘คืนอันเป็นนิรันดร์’ ที่แฝงสัจธรรมในเนื้อเพลงเอาไว้

ความทุกข์ในวันเมื่อวานคืนกลับมาหาใจอันอ่อนแอ
เหตุที่ใจแพ้เพราะเราต่างหากที่แพ้ใจ
ความทุกข์จึงเป็นกลางคืนอันยาวนานแต่แล้วมันจะผ่านไป
ตราบใดเวลายังหมุนผ่าน ความทุกข์จะผ่านเพราะไม่มีคืนใดเป็นนิรันดร์
วันคืนต้องผ่าน นั่นคือเวลาอันเป็นนิรันดร์
ในเรื่องของประเด็นที่เขาพูดถึงใน ’รักแห่งสยาม’ นี้ล้วนเป็นปัญหาที่วนเวียนอยู่ในครอบครัวของคนชั้นกลางขึ้นไปซึ่งอาศัยในสังคมเมือง แม้จะมีจุดร่วมอยู่ที่ปัญหาครอบครัวแต่หนังก็ให้น้ำหนักกับปัญหาครอบครัวที่อยู่ในระดับล่างน้อยมาก ซึ่งได้ใส่เอาไว้ในเรื่องราวของชีวิตของตัวละครที่ชื่อว่า ‘จูน’ ได้หนีออกจากบ้านเกิด จากพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นโดยหวังว่าจะกลับไปพร้อมความสำเร็จในชีวิตเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ดีขึ้น แต่ตลอดเรื่องราวในหนัง จูนก็ยังอยู่ในฐานะคนของคนชั้นกลางอีกเช่นกัน คือตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินและมีความฝันแบบคนชั้นกลางทั่วไป มีปัญหาอย่างที่คนชั้นกลางทั่วไปมีกัน เรียกได้ว่าตัวละครทุกตัวในเรื่องเป็นตัวแทนของสภาพชีวิตของคนชั้นกลางได้ครอบคลุม และเชื่อได้เลยว่าผู้ชมที่เป็นคนชั้นกลางจะซาบซึ้งไปกับเรื่องราวของหนังได้มากกว่าชนชั้นอื่น แต่ในขณะเดียวกัน ’รักแห่งสยาม’ ก็เป็นหนังที่สามารถสร้างความเข้าใจระหว่างคนต่างชนชั้นได้เรื่องหนึ่ง เหมือนอย่างที่ ‘American Beauty’ ทำให้เราในฐานะคนที่อยู่ในสังคมแบบตะวันออกเห็นภาพร่างคร่าวๆ ของสังคมตะวันตกแบบอเมริกันได้

และอีกประเด็นที่โดดเด่นขึ้นมานั่นก็คือเรื่อง ‘เพศที่สาม’

ฉากที่โต้งเลือกตุ๊กตาผู้ชายหรือตุ๊กตาผู้หญิงจากมือแม่นั้นถือเป็นฉากสัญลักษณ์ ที่ต่อให้ใครที่ไม่มีความรู้ทางด้านภาพยนตร์ หรือแม้คนที่เกลียดการตีความจากสัญลักษณ์ของหนัง ก็รู้ได้ทันทีว่าผู้กำกับฯจะสื่อความอะไร ผ่านตัวตุ๊กตานั้น จุดพลาดของหนังคือการเล่าเรื่องของโต้ง มิว หญิงและโดนัท ไปจนสิ้นสุด ว่าแต่ละตัวละครตัดสินใจอย่างไร และส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของตัวละครที่เกี่ยวข้องบ้าง จึงทำให้ฉากสัญลักษณ์ที่ว่านั้นเป็นฉากที่ไร้ความหมายและไม่ก่อให้เกิดการตีความหรือแตกประเด็นในตอนจบอย่างที่ควรจะเป็นว่าการที่โต้งเลือกตุ๊กตานั้นไปด้วยเหตุผลว่าเขาเลือกที่จะเป็นหรือเขาเลือกที่จะรักเพศของตุ๊กตานั้นกันแน่ จึงทำได้เพียงแค่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของสังคมเท่านั้น

ในความเป็นจริงซึ่งต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยนั้นยังรับไม่ได้กับเรื่องเพศที่สาม ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีความสามารถที่ดีอย่างยิ่งยวดก็จะไม่ได้รับการยอมรับ ซ้ำร้ายหากมีข้อบกพร่องแม้เพียงเล็กน้อยเยี่ยงคนสามัญธรรมดาที่พึ่งมีบ้าง ก็มักจะถูกมองด้วยสายตาเดียดฉันท์มากกว่าปกติเป็นเท่าทวี แม้ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ สำหรับเพศที่สามก็ถือว่าเป็นความผิดประหลาดในสังคม ทั้งที่ป่าวประกาศว่าตนเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่ไม่ยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวคิด ความเชื่อ หรือแม้แต่เรื่องเพศก็ตาม เพียงเท่านี้ก็บอกได้อย่างทันทีแล้วว่าเพศที่สามจะดำรงคงอยู่ในสังคมได้ลำบากยากเย็นเช่นไร นี่ยังไม่นับรวมถึงเรื่องสิทธิทางสังคมอื่นๆอีกมากมายซึ่งยังเป็นปัญหาที่ทุ่มเถียงกันและยังหาข้อยุติไม่ได้
หนังแสดงให้เห็นว่า บทลงเอยของเรื่องราวนั้นเป็นผลมาจากขนบชีวิตของสังคมไทย ที่เป็นไปอย่างมีแบบแผน มีการวางแนวชีวิตไว้ก่อน มีมาตรฐานที่ก่อเกิดขึ้นจากค่านิยมแบบวัตถุนิยม ต้องเรียนจบขั้นปริญญา ทำงานดีๆ มีเงินเก็บ ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงาน มีครอบครัวที่อบอุ่น โดยไม่สำรวจถึงความเป็นจริงของตนและคนในครอบครัวของตน จะเห็นได้จากความคาดหวังของสุนีย์กับความขัดแย้งกับกรณีเพศที่สาม ซึ่งไม่สามารถนำพาครอบครัวให้เป็นไปตามแนวทางที่ว่าได้เลย และความคาดหวังของจูนก็มีความขัดแย้งกับกรณีฐานะทางการเงินและสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ซึ่งจริงๆ ถ้าจูนถอดความคิดที่เป็นแบบแผนอันนั้นออกไป จูนก็จะมีความสุขอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นได้แบบฉบับของคนชนบท เพราะชีวิตคือความหลากหลายมิใช่หุ่นยนต์ที่กระทำตามคำสั่งที่ตีกรอบไว้เท่านั้น

องค์ประกอบต่างๆ ของภาพยนตร์เรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ ถือเป็นการแสดงออกทางความสามารถของ มะเดี่ยว ในฐานะผู้เขียนบทภาพยนตร์ ผู้กำกับการแสดง และนักเพลงได้เป็นอย่างดี เขาพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าสามารถจะเป็นผู้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว
ทำให้เห็นว่า วงการภาพยนตร์ไทยยังมีผู้สร้างงานดีๆ และหลายหลาย หลงเหลืออยู่ในกระแสทุนที่หนักอึ้งถาโถมเข้าสู่ตัวผู้สร้างงาน ยังผู้สร้างที่มีความต้องการผลิตงานคุณภาพในมาตรฐานของผู้สร้างสรรค์ มากกว่าผลิตงานคุณภาพในสายตาของนายทุน

หากว่านายทุนไม่เปิดใจให้โอกาสงานที่ฉีกกระแสตลาดออกไปและห่วงเพียงแต่ว่าหนังจะทำเงินได้มากหรือไม่ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะส่งผลดีต่อวงการภาพยนตร์ไทยเลย และก็ใช่ว่ามันจะเป็นผลงานในแบบที่มีพลังสร้างสรรค์อยู่เต็มเปี่ยมในมุมมองผู้สร้างแต่ผู้ชมไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ตัวเลขรายได้ก็ทำให้นายทุนขยาด นั่นก็ไม่ใช่หนทางที่จะสร้างสรรค์วงการภาพยนตร์ไทยให้ออกไปสู่วงกว้างได้เช่นกัน

‘รักแห่งสยาม’ ถือเป็นหนังที่อยู่นอกกระแสตลาดอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องแปลกใจว่าเพราะเหตุใดใบปิดหนังจึงออกมาในอารมณ์รักหวานแหววของวัยใสอย่างนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้ชมส่วนใหญ่ยังไม่ยอมเปิดใจยอมรับความหลากหลายของแนวหนังไทยมากพอ แม้นายทุนจะใจกว้างเปิดเปิดโอกาสได้สร้างสรรค์งานนอกกระแสแบบนี้ออกมา แต่วิถีทางการตลาดทำให้มันต้องออกมาในรูปแบบนั้น เพราะนายทุนเองก็กลัวตัวเลขรายได้ที่ต่ำกว่าทุนแม้ว่าจะเชื่อว่าตัวหนังมีศักยภาพที่จะขายได้ด้วยตัวเองแล้วก็ตามที

จุดหมายที่หลายคนในวงการภาพยนตร์อยากเห็นคือการยกระดับวงการภาพยนตร์ไทย อย่างน้อยได้รับการยอมรับจากผู้ชมในประเทศให้ทัดเทียมกับหนังต่างประเทศ และการยอมรับในเวทีนานาชาติ เมื่อผู้สร้างเริ่มยกระดับผลงานของตนเอง นายทุนก็ตอบรับด้วยการยกระดับมาตรฐานในการตัดสินคุณภาพงานจากตัวผลงานมิใช่ตัวเลขกำไรเพียงอย่างเดียว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ชมจะต้องยกระดับตัวเองเสียที

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Beowulf จงล้างจานที่ตัวเองกินเอาไว้

เพียงจานที่เคยบรรจุอาหารที่กินไว้ยังต้องลงมือล้างเช็ดด้วยตัวเอง นับประสาอะไรกับอมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเชื้อพันธุ์ที่ได้ไปเพาะหว่านไว้ในครรภ์อสูรร้าย ที่ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นบิดาแท้ๆ จะต้องเป็นผู้บัญชากำหนดวิถีทางการกระทำและควบคุมมันด้วยตัวเอง

ในนามของเบวูล์ฟ (เรย์ วินสโตน) ราชันย์เผ่าพันธุ์นักรบชาวกีทต์ บุรุษเมืองไวกิ้งผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ทำหน้าที่โค่นล้างปีศาจร้ายชื่อแกรนเดล(คริสพิน โกลเวอร์)จนเหลือเพียงแค่ชื่อไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขากลับต้องมาพ่ายใจตนเอง เมื่อไม่สามารถต้านเสน่ห์เย้ายวนของปีศาจผู้เป็นมารดาของแกรนเดล (แองเจลิน่า โจลี) เอาไว้ได้ เบวูล์ฟปล่อยใจให้ความหลงเข้าครอบงำยอมเสพสมกับหล่อน จนกำเนิดหน่อเนื้อเชื้อไขของตัวเองขึ้นในครรภ์ของปีศาจผู้เป็นมารดาของแกรนเดล อสูรร้ายตัวที่เขาได้เคยกำจัดไป

ตำนานของเบวูล์ฟ นักรบจอมแข็งแกร่งผู้ไม่เคยพ่ายต่อสิ่งไหน ซึ่งกลับต้องยอมจำนนพ่ายแพ้หัวใจตัวเอง จนทำให้เขากลายเป็นบิดาของจอมอสูรที่เที่ยวไล่เข่นฆ่าผู้คนไปทั่วประเทศเดนมาร์กนั้นเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณสมัย

จวบจนกระทั่งเมื่อ นีล กายแมนส์ (ผู้แต่งนวนิยายเรื่อง Stardust) นักเขียนชื่อดังที่ถนัดการต่อเติมเรื่องราวจากจินตนาการได้ร่วมมือกับ โรเจอร์ เอวารี่ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Silent Hill) หยิบเอาตำนานเร้าจินตนาการชิ้นนี้มาขยายต่อจนกลายมาเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ใช้วิธีถอดแบบจากผู้แสดงจริงแทบทุกกระเบียดนิ้ว ภายใต้การกำกับของผู้กำกับจอมเก๋ามากฝีมืออย่าง โรเบิร์ต เซเมคคิส ผู้ที่มันมือจากการทำงานแอนิเมชั่นด้วยการจำลองจากนักแสดงจริง ดั่งเช่นในภาพยนตร์เรื่อง The Polar Express (2004) ที่เซเมคคิสได้ฝากฝีมือเอาไว้

แม้จะใช้วิธีติดเซ็นเซอร์จับตำแหน่งพื้นผิวทั่วใบหน้าและรูปร่าง แต่ตัวละครใน Beowulf ก็เป็นเพียงการจำลองลักษณะส่วนหนึ่งมาเท่านั้น เค้าโครงของเบวูล์ฟ ที่ถอดมาจาก วินสโตนหรือรูปลักษณ์ของกษัตริย์ รอธการ์ (แอนโทนี ฮ็อปกิ้นส์) ขุนนางจอมประจบชื่อ อันเฟิร์ธ (จอห์น มัลโควิช) หรือกระทั่ง มเหสีเวลโธร์(โรบิน ไรท์ เพ็นท์) ก็เป็นการประยุกต์โดยได้แรงบันดาลใจมาจากนักแสดงจริงหาใช่การลอกรูปร่างหน้าตาออกมาทุกกระเบียดนิ้ว เห็นได้ชัดจากตัวเอกอย่าง เบวูล์ฟที่ใช้วินสโตนเป็นต้นแบบ เพราะตัวจริงของวินสโตนมีรูปร่างอ้วนฉุและเตี้ยต่ำด้อยกว่ารูปลักษณ์ของเบวูล์ฟที่เราได้เห็นบนจอไปหลายองศาเลยทีเดียว
แต่การดึงเพียงลักษณะเด่นของนักแสดง ก็นับเป็นข้อดีของ Beowulf เพราะภาพของแอนิเมชั่นที่มีการปรับแต่งได้ตามใจทีมผู้สร้าง ย่อมเสริมจินตนาการในฐานะ ‘ตำนาน’ ของยอดนักรบถูกเติมเต็มได้ดีกว่าการบรรจงสวมทับโดยนักแสดงตัวเป็นๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียอีก

ส่วนเทคนิคทางด้านภาพ แสง และมิติต่างๆ ถือว่ามีความสมจริงและก้าวไปไกลกว่าที่ The Polar Express เคยทำไว้ เรียกว่าหากใจลอยชมเผินๆ ไม่พิศลงไปให้เจาะลงก็อาจจะแยกไม่ออกว่า ยอดนักรบที่กำลังต่อกรกับปีศาจแกรนเดลด้วยมือเปล่าตรงหน้านั้น เป็นภาพที่เกิดจากแอนิเมชั่น หาใช่ตัวตนของนักแสดงจริงๆ แต่อย่างใด

เพียงแค่นักแสดงหลักสองคนอย่าง ฮ็อปกิ้นส์กับมัลโควิชก็คงจะเรียกบรรดานักชมภาพยนตร์ให้ควักกระเป๋าเดินเข้าโรงกันได้พอสมควร และถึงจะเป็นเพียงการจำลองลักษณะท่าทาง แต่การแสดงของมัลโควิชและฮ็อปกิ้นส์ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังซึ่งแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ที่จะทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ เช่นหลายเรื่องที่ผ่านมา

ตัวหนังดำเนินไปแบบไม่อืดเอื่อย เนื้อเรื่องจากตำนานเข้าใจได้ง่ายไม่สับสน ฉากแอ๊คชั่นต่อสู้ตระการตาอัดแน่นไว้เต็มเปี่ยม จนถึงขนาดมีผู้ที่ได้ไปสัมผัสในรูปแบบสามมิติบนจอ IMAX บางคนกล่าวขานมาว่า หากใครได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบสองมิติธรรมดา ให้ลองหาโอกาส(และสตางค์) ไปชมในรูปแบบสามมิติกันดูอีกสักครั้ง แล้วจะได้อรรถรสที่ต่างไปจากที่เคยดูหลายเท่าตัว

น่าเสียดายเล็กๆ สำหรับนักแสดงชื่อดังอย่าง แองเจลิน่า โจลี่ เพราะบทมารดาจอมปีศาจที่เธอได้รับปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เพียงน้อยนิด อีกทั้งฉากสำคัญที่ชายหนุ่มทั่วโลกจับตารอคอยก็ไม่ได้สร้างความหวามไหวเร้าใจให้เกิดขึ้นสักเท่าไรเลย

โดยรวมแล้ว Beowulf ถือเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นแนวแฟนตาซี ผจญภัย ที่เต็มไปด้วยฉากแอ๊คชั่นตระการตายิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง โดยรวมอาจไม่เหมาะกับเด็กเล็ก เพราะแทบทั้งเรื่องเต็มไปด้วยฉากต่อสู้รุนแรงกับฉากชวนขวัญผวา (บรรดาฉากตกใจ ที่ทางผู้สร้างแอบเอาไว้ในระหว่างการดำเนินเรื่อง) แต่ถึงกระนั้นการเติมเต็มเรื่องราวที่เล่าขานแบบปากต่อปาก ให้กลายมาเป็นภาพจริงที่เคลื่อนไหวโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม ก็อาจเป็นการชำระล้างหนึ่งตำนานที่นอนนิ่งอยู่ในโลกสมัยใหม่ของพวกเราก็เป็นได้

ที่เหลือหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้สร้างภาพยนตร์ หรือกระทั่งนักรบชายชาตรีอย่างเบวูล์ฟเอง ก็คงจะต้องค้อมศีรษะรับผลจากการกระทำของตัวเองเอาไว้ในอกอย่างเต็มภาคภูมิที่สุดแล้ว

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

The Kingdom ยุทธการเดือด ล่าข้ามแผ่นดิน

วันที่เข้าฉาย 11 ตุลาคม 2550
บริษัทจัดจำหน่าย ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์
www.the-kingdommovie.com

นักแสดงนำ
เจมี่ ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) รับบท โรนัลด์ ฟลูรี่
คริส คูเปอร์ (Chris Cooper) รับบท แกรนต์ ไซก์ส
เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ (Jennifer Garner) รับบท เจเน็ต เมย์ส
เจสัน เบทแมน (Jason Bateman) รับบท อดัม เลียวิตต์
เจเรมี่ ไพเว่น (Jeremy Piven) รับบท เดม่อน ชมิดต์
แดนนี่ ฮูสตัน (Danny Huston) รับบท กิเดียน ยัง
ริชาร์ด เจนกิ้นส์ (Richard Jenkins) รับบท เจมส์ เกรซ
แอชรัฟ บารอม (Ashraf Barhom) รับบท พันเอก อัล กาซี
อาลี ซูไลมาน (Ali Suliman) รับบท สิบเอกเฮย์แธม

ทีมผู้สร้าง
ปีเตอร์ เบิร์ก (Peter Berg) – ผู้กำกับ
แมทธิว ไมเคิล คาร์นาแฮน (Matthew Michael Carnahan) – ผู้เขียนบท
ไมเคิล มานน์ (Michael Mann) – ผู้อำนวยการสร้าง
สก็อตต์ สตูเบอร์ (Scott Stuber) - ผู้อำนวยการสร้าง

เนื้อเรื่องย่อ
ฤดูใบไม้ร่วงนี้ จงทิ้งโลกของคุณไว้เบื้องหลัง และก้าวสู่ The Kingdom ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์ที่ติดตามการสืบสวนคดีอาชญากรรมซึ่งร่วมกันระหว่างสองวัฒนธรรมที่ไล่ล่าศัตรูตัวร้ายที่พร้อมลงมืออีกครั้ง โดยมีเรื่องราวจากข่าวหน้าหนึ่งเกี่ยวกับความยุ่งเหยิงในตะวันออกกลางมาเป็นฉากหลังของภาพยนตร์ ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นดาราดัง อาทิเช่นดาราเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างเจมี่ ฟ็อกซ์ (Ray, Jarhead) และคริส คูเปอร์ (Adaptation., Breach) และเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ (Daredevil, Catch and Release) และเจสัน เบทแมน (Smokin’ Aces, The Break-Up) ทั้งหมดนี้จะนำพาพวกเราก้าวสู่ทะเลทรายที่ร้อนระอุ โดยมีเวลาเพียงแค่ 5 วันที่จะไขคดีสังหารหมู่ และต้องเอาชีวิตรอดออกมาให้ได้


ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงอย่างปีเตอร์ เบิร์ก (Friday Night Lights, The Rundown) และผู้อำนวยการสร้าง ไมเคิล มานน์ (The Aviator, Ali, Hancock, Heat, The Insider) และสก็อตต์ สตูเบอร์ (The Break-Up, You, Me and Dupree) คือผู้นำในงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นการเปิดโปงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อการเจรจาทางการทูตล้มเหลว และทีมเอฟบีไอชั้นแนวหน้าต้องมารวมตัวกันเพื่อค้นหาตัวมือสังหารให้พบก่อนที่เขาจะลงมืออีกครั้ง

ในการโจมตีชาวตะวันตกครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในย่านนี้ พวกมือวางระเบิดพลีชีพทำให้พนักงานของบริษัทน้ำมันและครอบครัวเสียชีวิตกว่า 100 คน และบาดเจ็บมากกว่า 200 คนภายในเขตที่พักกัลฟ์ โอเอซิส เวสเทิร์น เฮ้าส์ซิ่ง คอมพาวด์ ในริยาด ประเทศซาอุดิ อาระเบีย ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงโต้แย้งกันถึงสมการของเขตแดน เจ้าหน้าที่พิเศษ โรนัลด์ ฟลูรี่ (ฟ็อกซ์) และทีมเจ้าหน้าที่เอฟบีไอของเขา อันประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเรื่องระเบิด แกรนต์ ไซก์ส (คูเปอร์), เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เจเน็ต เมย์ส (การ์เนอร์) และนักวิเคราะห์อดัม เลียวิตต์ (เบทแมน) ออกเดินทางอย่างลับๆ นานห้าวันไปยังซาอุดิ อาระเบียเพื่อตามหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการระเบิดครั้งนี้

อย่างไรก็ดีเมื่อไปถึงดินแดนแห่งทะเลทราย ฟูลรี่และลูกทีมของเขาก็พบว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุมีความสงสัยและไม่ต้อนรับผู้รุกล้ำชาวอเมริกันที่เข้ามาก้าวก่ายสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องราวภายในท้องถิ่น ด้วยโดนผูกมัดไว้ด้วยสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และเวลาเริ่มหมดลงเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอกลุ่มนี้พบว่าความเชี่ยวชาญชำนาญของพวกเขากลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ถ้าปราศจากความไว้วางใจจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายซาอุ ผู้ประสงค์อยากจะจับตัวผู้ก่อการร้ายรายนี้ในประเทศของพวกเขาด้วยวิธีการของพวกเขาเอง

ฟลูรี่ได้พบเพื่อนร่วมงานที่มีความคิดคล้ายๆ กันในตัวพันเอก อัล กาซี นายทหารชาวซาอุที่เข้ามาดูแลควบคุมพวกเขา (แอชรัฟ บารอม จาก Paradise Now, The Syrian Bride) ผู้ได้รับมอบหมายให้เข้ามาคอยดูแลปกป้องชาวอเมริกันที่เดินทางมาเยือนประเทศของเขา แต่เมื่ออัล กาซีช่วยทีมของฟลูรี่ตะลุยการเมืองในราชวงศ์ และเปิดเผยความลับของที่เกิดเหตุ พวกเขาพบว่าปฏิบัติการของพวกหัวรุนแรงจะทำให้เกิดการทำลายล้างต่อไป เมื่อชายสองคนที่มาจากโลกที่ต่างกัน กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกันในภารกิจนี้ พวกเขากลับกลายเป็นเป้าหมายคนสำคัญ

สองพันธมิตรที่ร่วมกันทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อไขคดีนี้ ทำให้พวกเขาเดินทางไปถึงประตูหน้าบ้านของมือสังหารในการเผชิญหน้าที่มีสองทางเลือกคือไม่ลงมือก็ตาย และในการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตให้รอดนี้ เหล่าคนแปลกหน้าที่ต้องร่วมมือเป็นหนึ่งเพื่อภารกิจ จะไม่ยอมยุติจนกว่าจะได้พบความเป็นธรรมใน The Kingdom

ที่เข้ามาร่วมทีมนักแสดงที่ประสบความสำเร็จกลุ่มนี้ ก็คือนักแสดงที่มีความสามารถอย่างเจเรมี่ ไพเว่น (หนังทีวีเรื่อง Entourage, ภาพยนตร์เรื่อง Smokin’ Aces) ในบทเดม่อน ชมิดต์ ทูตอเมริกัน, แดนนี่ ฮูสตัน (Children of Men, The Constant Gardener) ในบทกิเดียน ยัง อัยการที่ไม่เต็มใจอนุญาตให้ทีมเอฟบีไอกลุ่มนี้เดินทางไปซาอุดิ อาระเบีย, ริชาร์ด เจนกิ้นส์ (ผลงานทางทีวีเรื่อง Six Feet Under, North Country) รับบทผอ.เอฟบีไอ เจมส์ เกรซ ผู้ไม่เล่นตามกฎอีกต่อไป และอาลี ซูไลมาน (Chronicle of a Disappearance, Paradise Now) รับบทสิบเอกเฮย์แธม นายตำรวจชาวซาอุ

เบิร์กกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์จากฝีมือปลายปากกาของมือเขียนบท แมทธิว ไมเคิล คาร์นาแฮน (ภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Lions for Lambs, State of Play) สำหรับทีมงานหลังกล้อง ประกอบไปด้วยผู้กำกับภาพ มอโร ฟีโอเร่ (Smokin’ Aces, Training Day) รวมไปถึงผู้ร่วมงานประจำอย่างโปรดักชั่นดีไซเนอร์ ทอม ดัฟฟิลด์ (The Rundown, The Ring) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซูซาน แม็ทธีสัน (Friday Night Lights, Talladega Nights: The Ballad of Ricky Bobby), มือฉมังของวงการอย่าง เควิน สติทท์ (Paycheck, X-Men) และโคลบี้ ปาร์กเกอร์ จูเนียร์ (The Reaping, Friday Night Lights) เข้ามาร่วมงานในตำแหน่งผู้ลำดับภาพ และแดนนี่ เอลฟ์แมน (Charlie and the Chocolate Factory, Spider-Man 2) เป็นผู้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้

ผู้อำนวยการสร้างบริหารของ The Kingdom ได้แก่ แมรี่ พาเร้นต์ (You, Me and Dupree, Pleasantville), สตีเว่น เซต้า (The Island, Spider-Man), ซาร่าห์ ออบรีย์ (Friday Night Lights, Bad Santa), จอห์น คาเมรอน (Friday Night Lights, O Brother, Where Art Thou?) และไรอัน คาวานอห์ (Gridiron Gang, 3:10 to Yuma)


เบื้องหลังงานสร้าง
ขอต้อนรับสู่ The Kingdom: ภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์ถือกำเนิด
ปีเตอร์ เบิร์กเกิดไอเดียที่กลายมาเป็นเรื่อง The Kingdom เมื่อหนึ่งทศวรรษที่แล้ว หลังจากได้ดูข่าวเหตุการณ์ที่โด่งดังเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ปี 1996 เมื่อผู้ก่อการร้ายโคบาร์ ทาวเวอร์ส ลงมือโจมตีในโคบาร์ ประเทศซาอุดิ อาระเบีย พวกซาอุดิ เฮซโบลลาห์ได้ระเบิดรถขนน้ำมัน เป็นเหตุให้มีคนอเมริกันเสียชีวิต 19 คน ชาวซาอุหนึ่งคน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลากหลายเชื้อชาติมากถึง 372 คน ในเหตุโจมตีเพื่อต่อต้านอเมริกาที่ถือว่ารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

เบิร์กเล่าว่าการลงมือของผู้ก่อการร้ายในครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของสหรัฐกับซาอุ “มันคือการกระทำของผู้ก่อการร้ายที่มุ่งเป้าไปที่คนอเมริกัน แต่คนซาอุเองก็รู้สึกเจ็บปวดด้วยเช่นกัน มันนำไปสู่ความพยายามครั้งแรกที่เอฟบีไอคิดจะเข้าไปทำงานกับหน่วยงานกฎหมายของซาอุ ซึ่งได้รับการพิสูจน็แล้วว่าเป็นความพยายามสืบสวนที่มีความยุ่งยากซับซ้อนและต้องอาศัยกลเม็ด ผมคิดว่าน่าจะเป็นไอเดียที่น่าทึ่งทีเดียวที่จะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เพื่อจะดูว่าวัฒนธรรมอเมริกันและวัฒนธรรมอาหรับ ซึ่งต่างก็ตกเป็นเป้าของความรุนแรงทางศาสนาและร่วมแบ่งปันความสนใจที่มีต่อพวกหัวรุนแรง ได้เห็นถึงความแตกต่าง ความสงสัย และการเมืองเพื่อจะทดลองและทำงานด้วยกัน”

ในอีกสองสามปีต่อมา ไอเดียนี้ยังคงดำเนินต่อมาขณะที่เบิร์กยังคงทำงานอยู่ในวงการทั้งในฐานะนักแสดงและผู้กำกับ โดยเขาได้กำกับภาพยนตร์ฮิตทำรายได้ตั้งแต่เรื่อง The Rundown จนถึง Friday Night Lights ต่อมา แนวคิดนี้ได้ถูกนำมาผสมรวมกับประเด็นการพูดคุยที่เขากับเพื่อนสนิทชาวซาอุคนหนึ่งได้คุยกันเกี่ยวกับความเป็นจริงทางการเมืองและความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างอาหรับ-อเมริกัน จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ปี 2001

“หลังเหตุการณ์ 9/11 ในอเมริกา มีความรู้สึกต่อต้านพวกคนซาอุอยู่เยอะมาก เพราะมีสลัดอากาศหลายคนที่มาจากซาอุดิ อาระเบีย โอซามะก็เป็นคนซาอุ แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ผมมีต่อคนซาอุที่ผมรู้จักเลย” ผู้กำกับเบิร์กเชื่อว่าไม่มีเวลาไหนจะเหมาะแก่การสร้างภาพยนตร์ “ที่เป็นมุมมองต่อการร่วมกันต่อสู้กับการกระทำด้วยความรุนแรงระหว่างคนอาหรับและอเมริกันเท่าเวลานี้อีกแล้ว”

เขาต้องการจะสร้างภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์ที่นำเสนอภาพของสองโลกที่มาทำงานด้วยกัน “ผ่านมิตรภาพที่พัฒนาไประหว่างผู้ชายสองคนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน นั่นก็คือเจ้าหน้าที่เอฟบีไอกับพันเอกชาวซาอุ” และเขาได้พบเรื่องนั้นในช่วงซัมเมอร์ของปี 2003

ในเดือนมิถุนายน ปี 2003 เบิร์กได้เข้าไปหามานน์ ซึ่งมีห้องทำงานอยู่ติดกับเขา และถามว่ามานน์จะอำนวยการสร้างโปรเจ็กต์นี้ผ่านบริษัทฟอร์เวิร์ด พาสส์ของเขาหรือไม่ ในตอนนั้นมานน์อยู่ระหว่างอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Aviator ที่กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี่ ส่วนมือเขียนบทที่เบิร์กเล็งเอาไว้นั้นก็คือมือเขียนบทโนเนมวัย 30 ปีที่ชื่อแมทธิว ไมเคิล คาร์นาแฮน ซึ่งเคยเขียนบทภาพยนตร์แนวดราม่าที่มีชื่อเรื่องว่า Soldier Field ที่บอกเล่าเรื่องราวของตำรวจชิคาโก้ที่ลุกขึ้นสู้พวกมาเฟียและแก๊งค์รัสเซีย มานน์เคยได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่อง Soldier Field ของคาร์นาแฮน

เบิร์กชอบรูปแบบที่คาร์นาแฮนจัดการกับส่วนที่เป็นแอ็กชั่น และรู้ดีว่าเขาคือคนที่เหมาะกับงานนี้ “เขาเป็นคนที่มีความเข้าใจเรื่องการเมือง แต่เขาก็เขียนฉากแอ็กชั่นได้มันมาก” ผู้กำกับเบิร์ก กล่าว “เราไม่ได้อยากจะสร้างภาพยนตร์ที่เป็นการเปิดโปงเรื่องการเมือง เราต้องการภาพยนตร์ที่ให้ความบันเทิงและเต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่นมันๆ แต่ก็ต้องนำเสนอภาพการเมืองในช่วงเวลานั้นออกมาอย่างเหมาะสมด้วย” มานน์และเบิร์กได้นำเรื่องนี้ไปเสนอกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส

มานน์ ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมานานจากภาพยนตร์แนวทริลเลอร์ และ ภาพยนตร์ดราม่าฉลาดๆอยากนำเสนอ“กระบวนการสืบสวนคดีฆาตกรรมที่มีขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์ที่สุด” เขาคิดว่ามันน่าจะเครียดอย่างมากกับการเกิดความรู้สึกเช่นนั้นสำหรับผู้นำปฏิบัติการอย่างโรนัลด์ ฟลูรี่ “พวกเขาไม่ต้องการให้คุณไปอยู่ที่นั่น รัฐบาลของคุณก็ไม่อยากให้คุณไปอยู่ที่นั่น และทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการปะทะกัน และในที่สุด ได้ทำให้เกิดความภักดีระหว่างเจ้าหน้าที่กฎหมายสองคนนี้”

มานน์เชื่อว่าไม่มีหนทางใดจะนำเสนอประเด็นทางการเมือง และประเด็นระหว่างภูมิภาคได้ดีไปกว่าการนำเสนอผ่านประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่สืบสวน เขากล่าวว่า “เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นบาดแผลในใจในระดับบุคคล นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราอยากจะวางเรื่องราวทั้งหมดนี้เอาไว้ภายในประสบการณ์วันต่อวันของสองเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีฝีมือ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่มีความห่วงใยในครอบครัวและความปลอดภัยในประเทศชาติของพวกเขา”

ผู้อำนวยการสร้าง สก็อตต์ สตูเบอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับผู้กำกับเบิร์กมาแล้วในภาพยนตร์ถึงสองเรื่อง ได้แก่ The Rundown และ Friday Night Lights โดยขณะนั้นเขาทำหน้าที่เป็นรองประธานฝ่ายเวิร์ลด์ไวด์ โปรดักชั่นของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ยังจำได้ดีเมื่อตอนที่ไอเดียที่กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะของเขา “พีท, ไมเคิล และผมได้ไปดินเนอร์ด้วยกัน” สตูเบอร์เล่า “พวกเขานำเรื่องนี้มาเสนอกับผม และผมก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีมาก เราทุกคนต่างเป็นแฟนบทภาพยนตร์เรื่อง Soldier Field ของคาร์นาแฮนอยู่แล้ว และเขาก็อยากจะเขียนเรื่องนี้ ดังนั้น มันจึงเป็นการนำเสนองานที่ง่ายที่ผมจะตัดสินใจซื้อในฐานะตัวแทนของสตูดิโอ”

ระหว่างพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ สตูเบอร์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผูบริหารของยูนิเวอร์แซลเพื่อมาก่อตั้งบริษัทสตูเบอร์/ พาเร้นต์ ร่วมกับแมรี่ พาเร้นต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เบิร์กและมานน์ได้ติดต่อไปหาสตูเบอร์ ขอให้เขาอยู่ช่วยดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อไป The Kingdom คือหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่สตูเบอร์ให้การสนับสนุนที่ยูนิเวอร์แซล และทุ่มเทให้กับการนำมันขึ้นสู่จอในฐานะผู้อำนวยการสร้าง

สตูเบอร์เชื่อว่า The Kingdom สามารถเป็นได้ทั้ง “ภาพยนตร์ดราม่าฉลาดๆ และภาพยนตร์แอ็กชั่น มันมีทั้งฉากแอ็กชั่นและความตื่นเต้น แต่ก็พูดถึงปัญหาในโลกจริงๆ ด้วย”

มานน์แนะนำทีมให้รู้จักกับริชาร์ด ไคลน์ ผู้อำนวยการสร้างด้านการจัดการตะวันออกกลางและอ่าวอาระเบียที่คิสซิงเกอร์ แม็คลาร์ตี้ แอสโซซิเอ็ทส์ และเอเลน แชนนอน จากแม็กกาซีน Time จากการเดินทางไปค้นคว้าหาข้อมูลที่วอชิงตัน ดีซีหลายครั้ง คาร์นาแฮนได้พบกับผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้า รวมไปถึงสมาชิกทีมช่วยเหลือตัวประกันของเอฟบีไอเพื่อเก็บข้อมูลประสบการณ์ของพวกเขาในตะวันออกกลาง เขายังได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่หลายคนที่เคยเห็นผลกระทบหลังเหตุระเบิดที่โกบาร์ เคยทำงานในเยเมนหลังจากที่เรือหลวงยูเอสเอส โคลถูกโจมตี และถูกโจมตีตลอดอัฟริกาตะวันออก หลังจากสถานทูตอเมริกันถูกระเบิด

คาร์นาแฮนได้นำความรู้และมุมมองที่มีต่อการทำงานกับต่างชาติ เพื่อนำมาเขียนเป็นบทภาพยนตร์ที่มีความสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขายังรู้สึกทึ่งในเรื่องราวของสมาชิกในทีมช่วยตัวประกันที่มาพร้อมกับทีมเอฟบีไอและคอยปกป้องผู้สืบคดี และมาตรฐานที่แตกต่างกันของกระบวนความยุติธรรม ขั้นตอนการสืบสวนคดีอาชญากรรม และศาสตร์ด้านการไขคดีที่พวกเขาได้พบในประเทศเจ้าบ้าน น่าเศร้าที่ในเดือนพฤษภาคม ปี 2003 ถิ่นที่พักของชาวตะวันตกถึงสามแห่งในซาอุดิ อาระเบียถูกโจมตีในคืนเดียวกัน นั่นคือเมล็ดพันธุ์ชิ้นสุดท้ายที่ถูกใส่ลงไปในบทภาพยนตร์เรื่องนี้

เบิร์กสามารถเดินทางไปซาอุดิอาระเบียเพื่อทำการค้นคว้าเพิ่มเติม ในระหว่างตระเวนไปทั่วเมืองครั้งหนึ่ง เบิร์กได้นั่งพูดคุยกับทั้งหญิงและชายชาวซาอุหลายคนจากหลายชนชั้นในสังคม “นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกที่พวกเราส่วนใหญ่แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย แต่พีทมีภาพที่ชัดเจนว่าเขาอยากจะสร้างภาพยนตร์ประเภทไหนออกมา” สตูเบอร์เล่า

เบิร์กเน้นว่าเขาไม่ได้ “กำลังคิดที่จะสร้างภาพยนตร์ที่พูดถึงคนอเมริกันที่ไปไล่บี้ใครในวัฒนธรรมอาหรับ ในภาพยนตร์เรื่องนี้เรามีความเป็นกลางทางด้านการเมือง ถ้าเราจะตามล่าใครสักคน มันก็คงจะเป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างรุนแรง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนอเมริกันและคนอาหรับที่ทำงานด้วยกันด้วยวิถีทางที่มีมนุษยธรรมและเหมาะสม”

เมื่อได้ไฟเขียวให้ดำเนินงานสร้างได้ และมีบทภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์ ทีมผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับเบิร์กลงมือระดมทีมระดับหัวกะทิอันประกอบไปด้วยนักแสดงอเมริกันสี่คนและอาหรับสองคน ที่ยินดีจะเข้ารับการฝึกอย่างหนักท่ามกลางความร้อนระอุ

เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ก่อการร้าย: การคัดเลือกตัวนักแสดง

ทางทีมผู้สร้างรู้ดีว่าพวกเขากำลังค้นหาดาราแอ็กชั่นเพื่อให้มารับบทเป็นหัวหน้าทีมระดับหัวกะทิของเอฟบีไอ พวกเขาหันไปหาเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างเจมี่ ฟ็อกซ์ มานน์ได้ส่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ฟ็อกซ์ขณะทำงานอยู่ด้วยกันในกองถ่ายของภาพยนตร์เรื่อง Miami Vice ฟ็อกซ์มีความเข้าใจในความเจ็บปวดของฟลูรี่ที่ต้องสูญเสียเพื่อนเก่าไปในเหตุระเบิด รวมไปถึงความต้องการที่จะแก้แค้นให้เขา

ฟ็อกซ์กล่าวว่า “ฟลูรี่ต้องรับมือกับความจริงที่ว่ามุมมองที่เขามีต่อสงครามได้เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อคนที่เขากับครอบครัวรักและชื่นชมต้องเสียชีวิตไป ความตายมาเยือนถึงประตูหน้าบ้านของเขา และเขาต้องตัดสินใจว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง”

ผู้อำนวยการสร้างมานน์ให้ความเห็นไว้ว่า “เจมส์สามารถที่จะทุ่มเทตัวเองลงไปในตัวละครและบทบาทต่างๆ ได้ สำหรับผมแล้ว เขาดูน่าเชื่ออย่างมากในบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ มีความจริงจังอยู่ในความตั้งใจที่คนเหล่านี้มีในตัว”

ผู้อำนวยการสร้างสตูเบอร์เห็นด้วย ระหว่างที่เขายังทำงานอยู่ที่ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เบอร์เคยดูแลงานสร้างภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องที่ฟ็อกซ์แสดงนำ ตั้งแต่Ray จนถึง Jarhead และ Miami Vice เขาเคยทำงานกับฟ็อกซ์มาก่อนและทาบทามให้ฟ็อกซ์มาแสดงนำใน The Kingdom.

คริส คูเปอร์ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ผู้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ในบรรดากลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งตัวไปริยาด เกิดความสนใจในเรื่อง The Kingdom เพราะเขามองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นทั้งภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์การเมือง และเป็น “เรื่องจริงจังที่ให้ความรู้สึกอุ่นใจ เป็นเรื่องที่บอกให้เรารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เรามีกับซาอุดิ อาระเบีย ถ้าผมสามารถหาภาพยนตร์ที่ให้รายละเอียดและใกล้ชิดได้เท่าเรื่องนี้ นั่นก็คือภาพยนตร์ที่ผมอยากจะใช้พลังทั้งหมดในตัวแสดงมันออกมา”

เบิร์กและคาร์นาแฮนได้พัฒนาตัวละครอย่างแกรนต์ ไซกส์ ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องระเบิด ผู้ซึ่งตามที่เบิร์กได้อธิบายเอาไว้ “เขาหลงใหลในเรื่องระเบิดและศาสตร์ด้านวิศวกรรมย้อนกลับ” คูเปอร์ไม่เพียงแต่นำความเฉลียวฉลาดที่เห็นเด่นชัดมาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เขายังทำหน้าที่เป็นเสมือนพ่อให้กับทีมเอฟบีไอกลุ่มนี้ด้วย

สำหรับสมาชิกที่เป็นผู้หญิงในทีม เบิร์กเลือกเพื่อนเก่าของเขา เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ติดต่อกันถึงสี่ปีจากบทนำในซีรีส์แนวทริลเลอร์ของเอบีซี เรื่อง Alias (เบิร์กได้ร่วมแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ในบทเจ้าหน้าที่เอสดี-6 โนอาห์ ฮิคส์ ในซีซันเปิดตัว)

การ์เนอร์พบว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีความจับใจ เข้าถึงแก่นแท้ และน่ากลัวอย่างมาก” เธอรู้สึกสนใจในโลกของเจ้าหน้าที่พิเศษ เจเน็ต เมย์ส เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์หลักฐานและภาษาศาสตร์ การ์เนอร์พูดถึงเมย์ส บทบาทของเธอว่า “ฟราน แมนเนอร์ส (รับบทโดยไคล แชนด์เลอร์) เพื่อนที่เธอสนิทสนมที่สุดจากควอนติโก้ ถูกฆ่าตายในเหตุระเบิดในซาอุดิ อาระเบีย เมื่อเธอและเพื่อนร่วมงานได้รับการบอกกล่าวว่าพวกเธอไม่สามารถเข้าไปสืบสวนการตายของฟราน และหาคนที่อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดครั้งนี้ได้ มันทำให้เธอแทบคลั่งทีเดียว”

เจสัน เบทแมน ผู้เคยร่วมแสดงกับผู้กำกับเบิร์กในภาพยนตร์ตลกเสียดสีเมื่อเร็วๆ นี้ เรื่อง Smokin’ Aces ขอพลิกบทบาทด้วยการมารับบทเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ อดัม เลียวิตต์ อย่างไรก็ดี คาร์นาแฮนได้อิงลักษณะส่วนหนึ่งของตัวละครนักวิเคราะห์ข้อมูลที่เบทแมนแสดงอยู่ มาจากเพื่อนคนหนึ่งของเขาในดีซี เนื้อหาที่มีหลากหลายระดับความลึกของบทภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างความประทับใจให้กับเบทแมนอย่างมาก เขาให้ความเห็นไว้ว่า “ธีมทางการเมืองมันขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล สำหรับผมแล้ว มันพูดถึงเรื่องที่ว่าการแก้แค้นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันมันปราศจากเหตุผลสักแค่ไหน ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยอันตรายและเล่ห์กลทางการเมือง ที่ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ให้ความบันเทิง เต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่นและน่ากลัวด้วย”

มานน์ยังกล่าวถึงเจ้าหน้าที่รัฐในแบบต่างๆ ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ “พวกเขาต้องอดทนต่อเรื่องราวการเมืองในระบบราชการเพื่อจะทำงานนั้น แต่พวกเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดและอุทิศตน นั่นคือสิ่งที่เราจะได้เห็นกันบนจอ เจน การ์เนอร์, เจสัน เบทแมน และคริส คูเปอร์น่ะหรือ พวกเขาตีบทแตกกระจุยไปเลย”

องค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งในเรื่องราวของคาร์นาแฮน ก็คือการเข้ามาพัวพันของสองผู้เล่นชาวซาอุ ที่เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่มาเยือนประเทศของพวกเขา ชาวซาอุสองคนนี้ ก็คือ สิบเอกเฮย์แธม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้เห็นเหตุการณ์สังหารชีวิตผู้คนด้วยตาตัวเองขณะที่เขาอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในชุมชน และพันเอกอัล กาซี่ ชายที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คอยจับตาดูคนอเมริกันกลุ่มนี้ขณะที่พวกเขาทำการสืบสวนคดี ผู้อำนวยการสร้าสตูเบอร์ให้ความเห็นว่า “สิ่งหนึ่งที่ถือว่าดึงดูดความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องที่ว่าเรามีตัวละครชาวซาอุสองคนที่เป็นตัวทำให้คนดูเข้าใจได้ว่าพวกเขามีพฤติกรรมและมีปฏิสัมพันธ์อย่างไรในวัฒนธรรมของพวกเขา มันคือความเข้าใจต่อโลกใบนี้และต่อภูมิภาคนี้”

สำหรับสองบทบาทนี้ เบิร์ก, มานน์ และสตูเบอร์เล็งนักแสดงชาวตะวันออกกลางสองคนที่เคยแสดงนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์ในอิสราเอล นักแสดงทั้งสองคนก็คืออาลี ซูไลมาน กับแอชรัฟ บารอม “หลังจากได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Paradise Now” สตูเบอร์เล่า “พวกเราเกิดความสนใจในตัวอาลีและแอชรัฟ และเราคุยกันว่าพวกเขาคือคนที่เราต้องการตัว พวกเขามีความสามารถและดูน่าสนใจ” ทีมผู้สร้างได้เซ็นสัญญากับ
ซูไลมาน ก่อนจากนั้นพวกเขาได้ตัดสินใจเลือกบารอมหลังจากเบิร์กได้พบกับบารอมในฮ่องกง

เบิร์กรู้ดีว่าหนึ่งในสิ่งสำคัญในบทภาพยนตร์ของคาร์นาแฮนวางอยู่ในการพัฒนาตัวละครพันเอกอัล กาซี่ ซึ่งรับบทแสดงโดยบารอม ระหว่างที่สืบคดีนี้อยู่นั้น บารอมและฟลูรี่ได้พบความคล้ายคลึงกันอย่างคาดไม่ถึงในฝ่ายตรงข้าม พวกเขาทั้งสองคนต่างเป็นพ่อของลูกๆ ที่ยังเล็ก เป็นคนที่ต้องการจะปกป้องครอบครัวของเขาและรักษาความสงบสุขของประเทศชาติเอาไว้ ผู้กำกับเบิร์กรู้สึกว่าความนับถือที่เพิ่มมากขึ้นที่ทั้งคู่มีต่อกัน คือสิ่งที่มักถูกมองข้ามไปในสื่อต่างๆ นั่นก็คือการสำนึกที่ว่าคนที่ไม่ได้มีความเห็นทางการเมืองรุนแรงในทุกวัฒนธรรม ต่างต้องการกฎหมายและระเบียบแบบแผนในชุมชนของพวกเขา

บารอมรู้สึกสนใจตัวละครของเขา เพราะ “บุคลิกที่ดูแข็งแกร่ง ตรงไปตรงมาของเขา เขาเป็นคนซื่อสัตย์และมุ่งมั่นกับเป้าหมาย จนกว่าเขาจะไปถึงสิ่งที่เขาต้องการ ผมอยากจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะความคิดที่มีในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการนำมาซึ่งความมีสมดุล และทุ่มเทความสนใจไปที่สิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก”

เพื่อนำความสมจริงมาสู่กองถ่าย อาห์เหม็ด อัล-อิบราฮิม พลเมืองชาวซาอุได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม และได้ทำงานกับทีมนักแสดงในเรื่องของบทพูดและสำเนียง หน้าที่ของเขายังรวมถึงการร่วมงานกับบารอมและซูไลมานเพื่อเรียนรู้สำเนียงแบบซาอุที่ต่างไปจากสำเนียงของพวกเขาเอง

ในกองถ่าย ทีมงานตั้งใจที่จะหาหาตัวประกอบที่เป็นชาวอาหรับและตะวันออกกลาง พวกเขาพบคนอเมริกันเชื้อสายเปอร์เซีย, ตุรกี และซาอุกว่า 3,000 คนที่โลเกชั่นและได้จ้างพวกเขาให้มาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ชาวเมือง หรือฝ่ายกบฏที่เป็นชาวซาอุ ทั้งหมดนี้จะต้องแต่งกายในชุดเครื่องแต่งกายที่ถูกส่งมาจากภูมิภาคอาหรับในซาอุดิ อาระเบีย, ดูไบ และอาบูดาบี

หลังจากคัดเลือกนักแสดงเรียบร้อยแล้ว ทีมงานเริ่มต้นการฝึกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ก่อการร้าย

ความเป็นจริงที่ร้ายแรง: การฝึกกับผู้เชี่ยวชาญ
ผู้กำกับเบิร์กพบว่ามันช่วยได้มาก ไม่เพียงแค่ทำให้นักแสดงได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนและอาชีพที่พวกเขาจะต้องเตรียมตัวแสดงเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาได้ลงไปลุยจริงๆ ด้วย สำหรับทีมเอฟบีไอที่เป็นหัวใจของเรื่องอย่างฟ็อกซ์, การ์เนอร์ และเบทแมน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายซาอุอย่างบารอมและซูไลมาน ทีมงานได้จัดให้มีการฝึกฝนร่างกายในไซมิวัลเล่ย์, แคลิฟอร์เนีย นานหลายอาทิตย์ก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นในอริโซน่า

“พวกเขาต้องเผชิญสถานการณ์ที่รุนแรงอย่างมากในองก์ที่ 3 ของภาพยนตร์เรื่องนี้” เบิร์กกล่าว “ความเป็นจริงก็คือเจ้าหน้าที่เอฟบีไอน้อยคนมากที่จะเคยยิงปืนในสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์ แต่ยังไงพวกเขาก็ต้องฝึก พวกเขาต้องผ่านการทดสอบยิงปืนทั้งปืนพกและปืนอัตโนมัติหลายครั้งในหนึ่งปี”

ทีมงานได้รวบรวมนักแสดงทั้งหมด 6 คนเพื่อให้เข้ารับการฝึก “ใช้ปืนพกและปืนอัตโนมัติ” คูเปอร์เล่า “แทนที่จะใช้แค่กระสุนเปล่า พวกเราได้ใช้ปืนลูกปลายสี การฝึกยังรวมถึงการดวลปืนกันในตึก คนที่พวกเราต้องสู้ด้วยคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ หลายคนเป็นมือแม่นปืนที่แม่นที่สุดในประเทศด้วยซ้ำ”

“เมื่อลูกกระสุนสีโดนตัวคุณ มันจะทำให้คุณเจ็บๆ คันๆ และคุณก็จะรู้สึกโกรธ” คูเปอร์กล่าวต่อ “เรามีทั้งเครื่องป้องกัน หมวกป้องกัน และมีแผ่นพลาสติกป้องกันใบหน้า แต่คุณไม่รู้เลยว่าศัตรูอยู่ตรงไหน มันยิ่งทำให้อดรีนาลีนคุณฉีดพุ่ง พวกเขายิงพวกเราได้หมดในเที่ยวแรก แต่กับการยิงสู้กันแต่ละครั้ง พวกเราฝีมือดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเราทำงานกันเป็นทีม”

ฟ็อกซ์ ซึ่งเพิ่งผ่านการเข้าแค้มป์ฝึกของมานน์ที่เตรียมเขาให้พร้อมสำหรับบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Collateral และ Miami Vice มามาดๆ คุ้นเคยดีกับการฝึกการใช้อาวุธ รวมถึงปรัชญาที่มานน์มีต่อการทำงานกับนักแสดง “ทำไมจะต้องเสแสร้งทำในเมื่อคุณสามารถเรียนรู้ที่จะทำมันได้จริงๆ” ฟ็อกซ์พูดถึงการฝึกของเขา “มันสอนให้คุณรู้จักนับถืออาวุธที่เราใช้ และรู้ว่ามันสามารถใช้ฆ่าได้จริงๆ”

ความนับถือของเขายังขยายไปถึงชายและหญิงที่ทำงานในอาชีพเดียวกับฟลูรี่และทีมของเขาด้วย ฟ็อกซ์กล่าวว่า “คุณต้องมีจิตใจที่ทรหดอดทนจริงๆ ในการจะเข้าไปเผชิญสถานการณ์แบบนั้นได้ เป็นสถานการณ์ที่ชีวิตของคุณอยู่บนเส้นด้าย เป็นสถานการณ์ที่คุณอาจเป็นฝ่ายฆ่าหรือเป็นฝ่ายโดนฆ่า”

เบิร์กกล่าวเสริมว่า “เราอยากจะแน่ใจว่าพวกเขารู้ว่าจะยิงปืนยังไง เราได้สร้างสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่เป็นมิตร และเราสร้างบรรยากาศให้กับพวกเขา เป้าหมายก็คือการช่วยให้พวกเขามีความคล่องแคล่วและชำนาญมากขึ้น และรู้ว่ามันจะวุ่นวายและลำบากแค่ไหนในการทำงานในสถานการณ์ที่มีความรุนแรงจริงๆ” บทภาพยนตร์ของคาร์นาแฮนได้นำทางให้กับกลุ่มช่างเทคนิคด้านการพิสูจน์หลักฐาน ผู้ก้าวสู่โลกที่พวกเขาจะต้องติดตามการสืบสวนของเอฟบีไอ “ในที่ที่แปลกถิ่นราวกับไปเยือนดวงจันทร์ มันไม่มีมาตรฐาน ไม่มีความชัดเจน ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องความยุติธรรมเหมือนของเรา” คาร์นาแฮนกล่าว

มานน์, สตูเบอร์ และเบิร์กรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่นักแสดงของพวกเขาจะต้องเข้าใจในพื้นฐานของการทำลายล้าง เรื่องของการพิสูจน์หลักฐาน การพิมพ์รอยนิ้วมือ การรวบรวมหลักฐาน และเทคนิคการสอบปากคำพยาน เบิร์กเล่าว่า “เอฟบีไอให้ความร่วมมือดีมาก พวกเขาให้ข้อมูลเราในแบบที่ไม่เคยให้ใครมาก่อน พวกเขาให้การสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขายอมเปิดประตูและช่วยนักแสดงเรียนรู้ทักษะที่พวกเขาต้องใช้จริงๆ”

การ์เนอร์กล่าวว่า “เราได้ใช้เวลาคลุกคลีกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอขณะที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะตรวจสอบหลักฐานจากซากปรักหักพังและตรวจดูความแตกต่างระหว่างการระเบิด สิ่งที่ต้องใช้เป็นตัวจุดชนวนระเบิดและประเภทของสารเคมีที่อาจอยู่ในระเบิด เราใช้เวลาหนึ่งวันเรียนรู้ว่าจะพิมพ์รอยนิ้วมืออย่างไร การเอารอยนิ้วมือออกจากโคลนในหล่ม และพิมพ์รอยนิ้วมือจากคนที่ตายไปแล้ว”

หลังจากได้ความรู้ใหม่ๆ และดูกระฉับกระเฉงอยู่ในชุดเอฟบีไอที่ซูซาน แม็ทธีสัน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ออกแบบมาอย่างสมจริง ทีมปฏิบัติการก็พร้อมที่จะแสดงฝีมือแล้ว

ตะวันออกกลางพบตะวันตก: โลเกชั่นและฉาก
The Kingdom เริ่มต้นการถ่ายทำ ณ โลเกชั่นในย่านฟีนิกซ์ นอกจากที่ซันวัลเล่ย์แล้ว โลเกชั่นสำคัญๆ ภายในประเทศยังรวมถึงเมซ่าและกิลเบิร์ต, อริโซน่า ที่ซึ่งฉากหลักๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นที่โพลีเทคนิค แคมปัส ของมหาวิทยาลัยอริโซน่า สเตท และวอชิงตัน ดีซี ที่อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 และตึกกระทรวงยุติธรรม

“เราต้องหาสถานที่กลางทะเลทรายในอเมริกาที่สามารถทำหน้าที่แทนซาอุดิ อาระเบียได้” ผู้อำนวยการสร้างสตูเบอร์กล่าว “ทางเลือกของคุณคือดินแดนทางเซาธ์เวสต์ คือในอริโซน่าหรือทะเลทรายแคลิฟอร์เนีย สภาพภูมิประเทศรอบๆ ฟีนิกซ์ทำให้เราได้ภาพวิวทิวทัศน์และความลึกในแบบที่เราต้องการเพื่อสร้างซาอุดิ อาระเบียขึ้นในอเมริกา โดยมีภาพและรายละเอียดเหมือนกัน”

แค่เพิ่มสภาพอากาศที่มีแสงแดดแผดจ้า ทำให้ทีมงานต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ตลอดการถ่ายทำในอริโซน่านานสิบเดือน “ความร้อนมันสุดจะทรมาน” สตูเบอร์ยอมรับ “เราต้องอยู่กันกลางแดดกลางทะเลทรายนานมาก โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 110-115 องศา ทุกคนต่างมีศัตรูคนเดียวกันนั่นก็คือความร้อน”

ในการออกแบบฉากกรุงริยาด โปรดักชั่นดีไซเนอร์ ทอม ดัฟฟิลด์ เล่าว่า “อาคารบ้านเรือนแบบอาหรับในภาพยนตร์เรื่องนี้อิงจากสถานที่ต่างๆ ในอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับอิมิเรทส์ (U.A.E.) ผมเคยเดินทางไปที่นั่นเพื่อเตรียมงานและถ่ายภาพตึกรามบ้านช่องมาเยอะมาก บ้านเป้าหมายและถนนซูไวดีเป็นการสร้างโดยอิงภาพถ่ายจากสหรัฐอาหรับอิมิเรทส์”

ทีมงานต้องการชุมชนบ้านพักทหารเก่าเพื่อสร้างฉากหมู่บ้านของบริษัทน้ำมันอเมริกันในริยาดที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น ฐานทัพอากาศวิลเลี่ยมส์ในซูเบอร์แบน ฟีนิกซ์ ซึ่งเป็นบ้านพักทหารที่อยู่ติดกับวิลเลี่ยมส์ เกทเวย์ แอร์ฟิลด์ในเมซ่า คือโลเกชั่นที่เหมาะมาก พื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของอีสต์แคมปัสของสถาบันโพลีเทคนิคของมหาวิทยาลัยอริโซน่าสเตท มีลักษณะโครงสร้างที่เหมาะสำหรับฉากบ้านพักกัลฟ์ โอเอซิส เวสเทิร์นอย่างมาก

ภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอริโซน่าสเตทนี้ แผนกศิลปกรรมและทีมงานก่อสร้าง ได้ปรับสภาพถนนดินเส้นเก่า และสร้างฉากด้านหน้าของตึกคอนโดสูงสี่ชั้นจำนวน 3 หลัง พร้อมสนามเบสบอลหนึ่งสนาม ทั้งสองฉากนี้จะได้เห็นในช่วงฉากเปิดเรื่องก่อนที่จะโดนโจมตี และได้เห็นสภาพหลังจากผู้คนล้มตายลง

หลังจากเบิร์กถ่ายทำฉากระเบิดฉากใหญ่แล้ว ทีมงานของดัฟฟิลด์ใช้เวลาสิบวันต่อมาทำการรื้อฉากเดิมเพื่อสร้างฉากหลังโดนระเบิด โดยพวกเขาจัดหาซากรถหลายสิบคันมาวางกระจายอยู่ทั่วสนามเบสบอลและลานจอดรถ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทีมเมคานิค เอฟเฟ็กต์ของเบิร์ต ดัลตัน ซึ่งเป็นผู้ประสานงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ อันที่จริง ทีมงานของเขาต้องระเบิดรถถึง 40 คันกลางทะเลทรายเพื่อนำมาตกแต่งฉากที่ว่านี้

ฉากที่เต็มไปด้วยรายละเอียดนี้ทำให้ทีมก่อสร้างต้องใช้เวลานานเกือบสามเดือนสร้างและตกแต่ง การทำงานท่ามกลางแดดแผดร้อน ทำให้คนงานต้องออกจากสถานที่ทำงานตั้งแต่ตอนบ่ายสองโมง

แทนที่จะสร้างฉากแยกต่างหากจากกันสองฉาก (คือฉากก่อนและหลังเกิดระเบิด) ดัฟฟิลด์อธิบายว่าพวกเขาใช้วิธีประหยัดได้อย่างไร “เราทำการลอกส่วนฉากด้านหน้าออก โดยสร้างฉากด้านหน้าก่อนเกิดระเบิด ทับส่วนฉากด้านหน้าหลังระเบิด วัสดุจะดูคล้ายกับก้อนอิฐบล็อก แต่อันที่จริงมันเป็นโฟมที่ตกแต่งให้ดูเหมือนอิฐบล็อก รอน รีสส์ คนตกแต่งฉากของเรา ต้องออกไปเอาเศษซากทั้งหมดที่เตรียมไว้กระจายไปทั่วฉากขนาด 6 เอเคอร์”

ในส่วนที่ติดกับมหาวิทยาลัยอริโซน่า สเตท ทีมออกแบบโปรดักชั่นยังสร้างถนน (อันที่จริงเอาไว้แทนฉากซูไวดี ในริยาด) ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่เอฟบีไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจของซาอุสาดกระสุนสู้กับผู้ก่อการร้าย ในโกดักแห่งหนึ่งในย่านแชนด์เลอร์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ทีมศิลปกรรมของดัฟฟิลด์ได้ออกแบบฉากภายในอพาร์ตเม้นต์ที่ซึ่งผู้ก่อการร้ายแอบมาหลบซ่อน และเป็นที่ซึ่งหนึ่งในเจ้าหน้าที่เอฟบีไอถูกจับตัวมาทรมาน

ทีมศิลปกรรมได้ตกแต่งถนนฟรีเวย์โดยรอบใกล้ๆ มหาวิทยาลัยอริโซน่า สเตท ด้วยป้ายจราจรภาษาอาหรับ โดยติดแทนที่ป้ายจำกัดความเร็วปกติและสัญญาณเข้าออกที่ติดกระจายอยู่ทั่วถนนความยาวสองไมล์ แน่นอนป้ายสัญญาณจราจรเกือบจะทั้งหมดนี้ถูกถอดออกก่อนจะถึงเช้าวันจันทร์ เพื่อไม่ให้คนขับท้องถิ่นเกิดความสับสนระหว่างการส่งข้าวของต่างๆ

เพราะมีฉากหลักๆ ในเรื่องเกิดขึ้นในวอชิงตัน ดีซี ต่อมาทีมงานจึงต้องย้ายไปยังเมืองหลวงเพื่อถ่ายทำฉากภายในอาคารนานสองวันที่อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 และที่อาคารเจ เอ๊ดการ์ ฮูเวอร์ จุดแวะต่อไปของพวกเขาก็คือตะวันออกกลาง

เมื่อเลือกสถานที่ถ่ายทำในต่างประเทศได้แล้ว ทีมผู้สร้างต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในเรื่องของการสร้างความสมจริงให้เกิดขึ้น นั่นก็คือคุณสามารถและควรจะถ่ายทำกัน ณ โลเกชั่นในย่านสำคัญ ๆ ของตะวันออกกลางหรือไม่ ไม่เพียงแต่ซาอุดิ อาระเบียจะมีกฎที่เข้มงวดในด้านธุรกิจและการท่องเที่ยว แต่กระทรวงการต่างประเทศยังเตือนพลเรือนชาวอเมริกันให้พยายามหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังซาอุ ทางเลือกนั้นจึงถูกระงับไปอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดี เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางทีมงานจำต้องหันไปพึ่งพาบริษัทที่ปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์ที่ตั้งอยู่ในดีซี ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือผู้อำนวยการสร้างมานน์ตอนไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Miami Vice ในย่านแคริบเบี้ยนและอเมริกาใต้ เมื่อพิจารณาสถานที่หลายแห่งในตะวันออกกลาง อาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันออกของซาอุดิ อาระเบีย และตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่าน คือทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด ปัญหาเดียวก็คือเมืองแห่งนี้ยังไม่เคยให้การต้อนรับกองถ่ายภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่จากชาติตะวันตกมาก่อน

ที่ปรึกษา ริชาร์ด ไคลน์ได้จัดการประชุมระหว่างทีมงานและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและกองทัพของสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะให้การต้อนรับกองถ่ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เข้ามาถ่ายทำในประเทศของพวกเขา และยังแสดงให้เห็นถึงข้อดีของการใช้ต้นทุนต่ำและความเปิดกว้างของอาบูดาบีและสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ขณะที่ทีมงานออกตระเวนหาโลเกชั่น พวกเขาพบว่าพวกเขาสามารถจัดฉากสำคัญๆ จากเรื่องราวของคาร์นาแฮนที่โรงแรมเอมิเรทส์ พาเลซ และในย่านชนชั้นใช้แรงงานของมุสซาฟาห์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากในกรุงริยาด พวกเขาได้พบความคล้ายคลึงทางด้านสถาปัตยกรรมมากมายทั่วทั้งเมืองนี้ด้วย

เพราะต้องไปถ่ายทำในอาบูดาบีนาน 8 วัน ไคลน์ได้ทำจดหมายเวียนความยาว 17 หน้าส่งไปให้ทีมงานและทีมนักแสดงทุกคนก่อนหน้าที่พวกเขาจะเดินทางไปที่นั่น ในจดหมายเวียนนั้นมีเนื้อหาครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของสนธิสัญญา การรักษาความปลอดภัย จนถึงประเด็นที่อ่อนไหวต่างๆ อย่างเช่น สัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงการดูหมิ่น (อาทิเช่นการใช้มือซ้ายหรือการยกฝ่าเท้าหรือรองเท้าขึ้นมา) รวมไปถึงความจำเป็นของทุกคนที่จะต้องแต่งกายให้เหมาะสมเพื่อแสดงความเคารพต่อขนบธรรม
เนียมและประเพณีท้องถิ่น

“สำหรับพวกเรา เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะต้องไปตะวันออกกลางให้ได้” เบิร์กเน้น “ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานกฎหมายของอเมริกันและตะวันออกกลาง เราคิดกันว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่เราจะต้องไปและสัมผัสกับวัฒนธรรมของพวกเขา ไม่จำเป็นว่ามันจะต้องเป็นโลเกชั่นที่ถ่ายทำได้ง่ายที่สุด ในอริโซน่ามันอาจจะร้อน แต่ที่นั่นมันร้อนกว่าเยอะ อย่างไรก็ดี มันก็คือโลเกชั่นที่เราไม่สามารถจำลองเลียนแบบได้ในอเมริกา”

เบิร์กหัวเราะ “มันคืองานมาราธอน เราเดินทางจากแอลเอไปยังอริโซน่า สร้างสถานที่ใหญ่ยักษ์ของซาอุดิ อาระเบียขึ้นในอริโซน่า จากนั้น เราเลือกทีมงานอเมริกันและอังกฤษ พาเดินทางไปไกลหลายพันไมล์ถึงตะวันออกกลาง ไปสู่เมืองที่ยังไม่เคยให้การต้อนรับกองถ่ายกองไหนมาก่อน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรับประกันการผจญภัยที่มีความโดดเด่นและสมจริง”

สตูเบอร์เห็นด้วย “ความสมจริงคือสิ่งสำคัญต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ คนดูต้องเชื่อและเข้าใจในการปะทะกันของวัฒนธรรม ทำให้โลเกชั่นกลายเป็นตัวละครตัวหนึ่ง เมื่อเราได้เห็นอาบูดาบี เรารู้ทันทีว่าเราต้องไปถ่ายทำกันที่นั่นเพื่อให้เข้าถึงแบบฉบับเฉพาะซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ”

บรรดากลุ่มผู้นำของอาบูดาบี ผู้มีส่วนในการตัดสินใจ รวมไปถึงรัฐบาล ได้ร่วมงานกับกองถ่ายเพื่อให้ทีมงานสามารถเข้าไปถ่ายทำภายในโรงแรมเอมิเรทส์ พาเลซที่สุดหรูหรา ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ริมทะเลอาหรับ และถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากพระราชวังของเจ้าชายอาห์เหม็ด บิน คาเลด ซึ่งในเรื่องตั้งอยู่ในซาอุดิ อาระเบีย แต่เริ่มเดิมทีโรงแรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่จัดงานประชุม Gulf Cooperation Council ซึ่งเป็นองค์กรของหกประเทศที่ตั้งอยู่ในอ่าว (ซาอุดิ อาระเบีย, บาเรน, คูเวต, โอมาน, กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์) ที่จะมาประชุมกันทุกปี ด้วยโคมไฟระย้าคริสตัลชวารอฟสกี้กว่า 1,000 ชิ้น ประตูหินอ่อน กำแพงที่ฉาบด้วยทอง ห้องสูทที่มีลิฟต์ส่วนตัว คงไม่มีใครคาดคิดว่าสถานที่หรูหรามูลค่า $3 พันล้านบนเนื้อที่ 247 เอเคอร์แห่งนี้คือสมบัติของโรงแรม

โรงแรมแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีบทบาทอยู่ในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นบ้านของทั้งทีมนักแสดงและทีมงานระหว่างที่พวกเขาเดินทางมาเยือนดินแดนตะวันออกกลาง ทีมงานได้ถ่ายทำภายในห้องแกรนด์สูทของโรงแรมนานสองวัน และถ่ายทำบริเวณรอบนอกอีก 6 วัน โดยเป็นการถ่ายทำในย่านดาวน์ทาวน์ของอาบูดาบี และตามย่านรอบนอกของเมืองมุสซาฟาห์ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันตกของเมืองครึ่งชั่วโมง

งานกล้องและระเบิด: แอ็กชั่นใน The Kingdom
ในการถ่ายทำฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ ซึ่งเป็นการเปิดฉากไคลแม็กซ์ที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นซึ่งอยู่ในองก์ที่ 3 ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางทีมงานต้องปิดถนนฟรีเวย์ใกล้ๆ กับเมืองฟีนิกซ์ พวกเขาพบสถานที่ที่สมบูรณ์แบบบนส่วนขยายความยาวสองไมล์ของฟรีเวย์นอร์ธ ลู้ป 202/ เร็ดเม้าน์เทน ซึ่งวิ่งจากสนามบินนานาชาติสกาย ฮาร์เบอร์ ไปยังเมืองเมซ่าทางด้านตะวันออก

เบิร์กกำกับฉากสุดตื่นเต้นนี้โดยใช้เวลา 9 วัน ในช่วงสุดสัปดาห์สามอาทิตย์ติดต่อกันในเดือนสิงหาคม เมื่อยางมะตอยที่ร้อนจัดโดนแสงแดดแผดเผา จนทีมงานสามารถทอดไข่บนพื้นผิวที่อุณหภูมิสูงถึง 148 องศา และพวกเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ

สำหรับฉากถนนฟรีเวย์ที่น่าตื่นเต้นนี้ ซึ่งเปิดองก์ที่ 3 ของเรื่อง เบิร์กได้ร่วมงานกับผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ผู้มีประสบการณ์มากล้นอย่างฟิล นีลสัน (Gladiator, Black Hawk Down, Kingdom of Heaven) และดัลตัน ซึ่งเป็นพ่อมดด้านเอฟเฟ็กต์ ผู้จัดฉากซากรถที่โดนระเบิด รวมถึงระเบิดและการยิงกันที่ลงเอยด้วยการจับตัวหนึ่งในเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไป

เจสัน เบทแมนพูดถึงฉากแอ็กชั่นที่เป็นไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการไล่ล่ากันบนถนนฟรีเวย์ และมาจบที่ฉากยิงกันในที่ซ่อนของผู้ก่อการร้าย ที่นั่น การฝึกฝนทั้งหมดของทีมได้ผ่านการทดสอบ “ขบวนรถของเราถูกลอบโจมตี ตัวละครของผมโดนจับตัวไป” เบทแมนเล่า “มันคือการเริ่มต้นฉากสุดท้ายซึ่งเป็นฉากแอ็กชั่นแบบไม่หยุดนานถึง 20 นาที”

เบิร์กเริ่มต้นการไล่ล่าด้วยฉากที่มีคนยอมพลีชีพด้วยการขับรถพุ่งเข้าชน โดยหวังจะสังหารกลุ่มเจ้าหน้าที่ สกัดขบวนรถของเอฟบีไอและจุดระเบิด ขณะที่นีลสัน ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 และคีธ วูลาร์ด ผู้ประสานงานสตั๊นต์ออกแบบฉากนี้ พวกเขาต้องใช้นักขับรถสตั๊นต์ที่มีประสบการณ์และฝีมือมาเป็นคนบังคับรถเอสยูวี และรถเมอร์ซิเดส เบนซ์ นอกจากนี้ ทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่มีประสบการณ์ของดัลตันยังต้องออกแบบการระเบิดที่เกิดขึ้นจากการขับรถพุ่งชนแบบพลีชีพด้วย (โดยใช้รถที่บังคับด้วยรีโมทคอนโทรล) ดัลตันพูดถึงความท้าทายในการปะติดปะต่อองค์ประกอบทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันว่า “เราต้องมีขบวนรถ 4 คันที่ถูกไล่ล่าโดยรถอีกคันหนึ่ง ซึ่งต้องระเบิดขณะวิ่งด้วยความเร็ว 80, 90, 100 ไมล์ต่อชั่วโมง”

ดัลตัน, นีลสัน และเดนนิส แม็คคาร์ธี่ ผู้ประสานงานเรื่องรถ ต้องการให้ฉากนี้ทั้งให้อารมณ์เข้มข้นและเหมือนจริง แต่ก็ต้องมีความปลอดภัยด้วย ดัลตันเล่าว่า “เราใช้เฟืองลมเหมือนในรถลากเครื่องบิน มีตัวกันกระแทกติดไว้บนเสาโทรศัพท์ฝังอยู่ในพื้น มีสลิงไฮโดรลิค และสายเคเบิ้ลมาคอยดึงมัน งานนี้ต้องใช้ความพยายามในการร่วมมือกันของทั้งทีมนักออกแบบ ช่างเชื่อม ช่างกล ช่างทำดอกไม้ไฟ และวิศวกรเพื่อทำการคำนวณและประเมินระบบฟิสิกส์เพื่อทำให้งานออกมาประสบความสำเร็จ”

หลังจากพูดคุยและนัดประชุมกับผู้ประสานงานด้านความปลอดภัยอยู่หลายครั้ง เบิร์กและผู้กำกับภาพ มอโร ฟีโอเร่ ตัดสินใจว่าฉากระเบิดนี้ควรออกมาดูรวดเร็วและรุนแรงให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้ พวกเขาต้องการแรงกระทบอย่างแรง และจะต้องเหมือนจริงราวกับคุณกำลังนั่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายงานข่าว

ต้องใช้ความพยายามสูงมากในการสร้างงานระเบิดที่ปลอดภัยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมงานตัดสินใจว่าเดิมพันที่ดีที่สุดก็คือการใช้ระเบิดซีโฟร์และโทแว็กซ์ ดัลตันอธิบายว่า “ระเบิดจะอิงอยู่กับเรื่องความเร็ว ยิ่งวัสดุเผาไหม้เร็วมากขึ้นเท่าไหร่ การระเบิดก็จะรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ระเบิดแบบแรงสูงเผาไหม้ในอัตราที่เร็วกว่าดินปืน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราใช้กันเป็นประจำในวงการ”

ดัลตันกล่าวเสริมว่า “เราเพิ่มเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟเยอะมากเพื่อช่วยสร้างมัน เราได้พูดคุยกับเอฟบีไอและซีไอเอในการค้นคว้าหาข้อมูลของเรา พวกเขาอธิบายว่าระเบิดที่เราเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไปถือว่าธรรมดามาก ดังนั้นไฟของเราจึงออกมาแม่นยำดี คุณสามารถมีระเบิดลูกใหญ่ได้ด้วยเชื้อเพลิง ไม่ใช่ดูเหมือนเป็นระเบิดในภาพยนตร์ เราทำมันออกมาให้ดูเป็นระเบิดใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ด้วยเชื้อเพลิงและใช้ปูนขาว คุณไม่สามารถอยู่ในรัศมี 200 ฟุตได้เพราะมันร้อนจัดมาก”

เมื่อปิดกล้องลงแล้ว นักแสดงที่รับบทเป็นทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่เอฟบีไอและพี่น้องชาวซาอุ ได้กล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จที่พวกเขาได้สร้างเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง The Kingdom แอชรัฟ บารอมสรุปความคิดและความรู้สึกของทีมนักแสดงว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้ประเด็นต่างๆ เหล่านี้มีความกระจ่าง ความพยายามที่จะไปให้ถึงด้านมืดในโลกของเรา และดึงหลายสิ่งมาจากจุดนั้นและทำให้ทุกคนหันมามอง ผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถดำเนินต่อไปในเส้นทางนี้และทำให้ผู้คนเริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นที่มีอันตรายมากขึ้น”

ผู้อำนวยการสร้างมานน์เห็นด้วยกับการแสดงความเห็นของบารอม รวมไปถึงความต้องการของคนดูต่อภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์แบบนี้ “สำหรับคนดูชาวอเมริกันแล้ว พวกเขามีความต้องการทั้งในระดับปัญญาและระดับลึกซึ้งที่จะตอบรับต่อเรื่องราวนี้ ความสนใจของพวกเขาก็คือสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีที่แท้จริงของคนดูอเมริกัน”

ผู้อำนวยการสร้างสตูเบอร์กล่าวว่า “The Kingdom คือถนนเส้นยาวสำหรับพวกเราทุกคน ความหวังของพวกเราก็คืออยากให้คนดูประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และยอมรับมัน ไม่ใช่แค่ในฐานะเรื่องที่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นทั้งอารมณ์และความคิดด้วย”

ผู้กำกับเบิร์กกล่าวสรุปถึงภาพยนตร์ที่เขาเริ่มต้นพัฒนางานสร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเพิ่งจะมาเสร็จสมบูรณ์ในวันนี้ว่า “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกี่ยวพันกันในระดับของมนุษย์ เป็นการต่อสู้ความรุนแรงและพยายามที่จะนำผู้รับผิดชอบต่อเหตุสังหารผู้คนบริสุทธิ์มาลงโทษ มันถูกสร้างขึ้นโดยไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ทางการเมืองและศาสนา แต่เกิดมาจากจิตวิญญาณแห่งมิตรภาพและมนุษยธรรม”

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานความร่วมมือกับรีเลทิวิตี้ มีเดีย, ผลงานการสร้างของฟอร์เวิร์ด พาสส์/ สตูเบอร์-พาเร้นต์ ผลงานการกำกับของปีเตอร์ เบิร์ก นำแสดงโดยเจมี่ ฟ็อกซ์, คริส คูเปอร์, เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ในเรื่อง The Kingdom ร่วมแสดงโดยเจสัน เบทแมน, เจเรมี่ ไพเว่น, แดนนี่ ฮูสตัน, ริชาร์ด เจนกิ้นส์ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของแดนนี่ เอลฟ์แมน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้แก่ ซูซาน แม็ทธีสัน, ผู้ลำดับภาพได้แก่ เควิน สติทท์, เอซีอี และโคลบี้ ปาร์กเกอร์ จูเนียร์ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ ทอม ดัฟฟิลด์, ผู้กำกับภาพ ได้แก่ มอโร ฟีโอเร่ เอเอสซี ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารประกอบไปด้วยแมรี่ พาเร้นต์, สตีเว่น เซต้า, ซาร่าห์ ออบรีย์, จอห์น คาเมรอน และไรอัน คาวานอห์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยไมเคิล มานน์ และสก็อตต์ สตูเบอร์ บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของแมทธิว คาร์นาแฮน และกำกับโดยปีเตอร์ เบิร์ก
www.thekingdommovie.com ©2007 Universal Studios

ประวัตินักแสดง

เจมี่ ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) รับบทโรนัลด์ ฟลูรี่

เจมี่ ฟ็อกซ์คว้ารางวัลออสการ์สาขาดารานำชายยอดเยี่ยมในปี 2004 จากบท เรย์ ชาร์ลส์ ในภาพยนตร์ที่กำกับโดยเทย์เลอร์ แฮ็กฟอร์ด เรื่อง Ray นอกจากจะคว้ารางวัลออสการ์แล้ว ฟ็อกซ์ยังได้รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลจากสมาคมนักแสดง, รางวัลบัฟต้า และรางวัล NAACP Image ในปีเดียวกันนั้น ฟ็อกซ์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลจากสมาคมนักแสดง, รางวัลบัฟต้า และรางวัล NAACP Image สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ทริลเลอร์ของไมเคิล มานน์ เรื่อง Collateral

คริสต์มาสปี 2006 ฟ็อกซ์มีผลงานเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากละครบรอดเวย์ เรื่อง Dreamgirls ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยบิลล์ คอนดอน และฟ็อกซ์ร่วมแสดงกับบียอนเซ่ โนว์ลส์และเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์

นอกเหนือจากงานแสดงภาพยนตร์แล้ว ฟ็อกซ์ยังประสบความสำเร็จในวงการเพลง ผลงานชุด “Unpredictable” ของเขากลายเป็นผลงานท็อปชาร์ตในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2005 ถึงต้นปี 2006 โดยสามารถยืนอยู่ในอันดับ 1 นานถึง 5 อาทิตย์ ทำยอดขายไปมากกว่า 1 ล้านยูนิตในเวลา 20 วัน และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 8 รางวัลบิลบอร์ด มิวสิค อวอร์ด, 3 รางวัลแกรมมี่ และ 1 รางวัลโซลเทรน มิวสิค และ 2 รางวัลอเมริกันมิวสิคอวอร์ด (ซึ่งฟ็อกซ์คว้ารางวัลศิลปินชายยอดนิยม)

ฟ็อกซ์ หนุ่มจากเท็กซัสเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักแสดงตลก หลังจากใช้เวลาอยู่ในแวดวงตลกอยู่พักใหญ่ เขาได้ร่วมแสดงกับคีเนน ไอวอรี่, เวย์นส์, จิม แคร์รี่ย์, เดม่อน เวย์นส์ และทอมมี่ เดวิดสัน ในซีรีส์แนวตลกของฟ็อกซ์ เรื่อง In Living Color ในปี 1996 เขามีซีรีส์เป็นของตัวเองอย่าง The Jamie Foxx Show ซึ่งออกอากาศมาถึง 5 ปี

บทแจ้งเกิดในภาพยนตร์จอเงินของฟ็อกซ์มาถึงในปี 1999 เมื่อผู้กำกับโอลิเวอร์ สโตน เลือกให้เขามาประกบบทกับอัล ปาชิโน่ โดยเขารับบทเป็นควอเตอร์แบ็คชื่อดัง วิลลี่ บีเมน ในภาพยนตร์เรื่อง Any Given Sunday ในปี 2001 ฟ็อกซ์รับบทเป็นดรูว์ “บันดินี่” บราวน์ ในภาพยนตร์ของไมเคิล มานน์ เรื่อง Ali

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์ของไมเคิล มานน์ เรื่อง Miami Vice และภาพยนตร์ของแซม เมนเดส เรื่อง Jarhead ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟ็อกซ์ ได้แก่ Stealth, Bait, Booty Call, The Truth About Cats and Dogs และ The Great White Hype

คริส คูเปอร์ (Chris Cooper) รับบทแกรนต์ ไซก์ส คริส คูเปอร์ หนึ่งในนักแสดงที่ได้รับความนับถือมากที่สุดในยุคนี้ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในปี 2003 ด้วยการคว้ารางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากบทจอห์น ลาโรช ในภาพยนตร์ของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส เรื่อง Adaptation ซึ่งเขียนบทโดยชาร์ลี คอฟแมน และกำกับโดยสไปก์ จอนซ์

ผลงานใหม่อีกเรื่องของคูเปอร์ ก็คือ Marriage ซึ่งเป็นภาพยนตร์อินดี้ที่เขาร่วมแสดงกับเพียร์ซ บรอสแนน และเรเชล แม็คอดัมส์ เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของโซนี่ คลาสสิกส์ เรื่อง Capote ที่แสดงนำโดยฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน และแคเธอรีน คีเนอร์

เมื่อไม่นานมานี้ คูเปอร์แสดงนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Breach เขายังให้บทสมทบที่หนักแน่นในภาพยนตร์ปี 2005 เรื่อง Jarhead และ Syriana

ในปี 2004 คูเปอร์ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของนิวมาร์เก็ต ฟิล์ม เรื่อง Silver City ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดราม่าการเมืองและฆาตกรรมลึกลับที่วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ในโคโลราโด้

ในปี 2003 คูเปอร์ร่วมแสดงนำในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Seabiscuit ซึ่งทำให้คูเปอร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมนักแสดง

ในปี 2002 คูเปอร์ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง The Bourne Identity และในปี 2004 เขารับบทเดิมในฉากที่เป็นภาพแฟลชแบ็ค ในภาพยนตร์ภาคต่อ The Bourne Supremacy

ในปี 2000 คูเปอร์ประกบบทกับเมล กิ๊บสัน ในภาพยนตร์ของโซนี่ พิคเจอร์ส เรื่อง The Patriot และในปีเดียวกันนั้น คูเปอร์ร่วมแสดงกับจิม แคร์รี่ย์ ในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Me, Myself & Irene ภายใต้การกำกับของปีเตอร์และบ็อบบี้ ฟาร์เรลลี่

ในปี 1999 คูเปอร์ได้รับรางวัลจากสมาคมนักแสดงจากบทสมทบในภาพยนตร์ของดรีมเวิร์กส์ เรื่อง American Beauty นอกจากนี้ เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง October Sky ในปี 1997 คูเปอร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Awards สาขาดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ของจอห์น เซย์เลส เรื่อง Lone Star

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด เรื่อง The Horse Whisperer, ภาพยนตร์เรื่อง Great Expectations, A Time to Kill, Money Train, This Boy’s Life, Guilty by Suspicion และ City of Hope

เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ (Jennifer Garner) รับบทเจเน็ต เมย์ส เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ก็คือเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลจากสมาคมนักแสดง และรางวัลพีเพิลส์ ชอยซ์ จากบทบาทในซีรีส์เรื่องดัง Alias

เมื่อเร็วๆ นี้ การ์เนอร์ปิดกล้องภาพยนตร์ตลกของค่ายฟ็อกซ์ เซิร์ชไลต์ เรื่อง Juno ที่เธอร่วมแสดงกับเอลเลน เพจ ภายใต้การกำกับของเจสัน ไรต์แมน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเปิดตัวฉายในวันที่ 14 ธันวาคม ปี 2007

ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของการ์เนอร์ ได้แก่ ภาพยนตร์ของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส เรื่อง Catch and Release, ภาพยนตร์ฮิตของเรฟโวลูชั่น สตูดิโอส์ เรื่อง 13 Going on 30, ภาพยนตร์ฮิตของทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เรื่อง Daredevil, Elektra; Pearl Harbor และภาพยนตร์ตลกเรื่อง Dude, Where’s My Car?

เจสัน เบทแมน (Jason Bateman) รับบทอดัม เลียวิตต์

เจสัน เบทแมน คือดาราชื่อดังจากซีรีส์ยอดนิยมมากมายหลายเรื่องตลอดช่วงเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้เขาร่วมแสดงในซีรีส์แนวตลกที่คว้ารางวัลเอ็มมี่ เรื่อง Arrested Development

เบทแมนยังเคยร่วมแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น ภาพยนตร์ฮิตทำเงินเรื่อง The Break-Up ที่เขาร่วมแสดงกับวินซ์ วอห์น และเจนนิเฟอร์ อนิสตัน, Dodgeball: A True Underdog Story ที่เขาร่วมแสดงกับเบน สติลเลอร์ และวอห์น, The Sweetest Thing, Starsky & Hutch, Love Stinks, Necessary Roughness, Breaking the Rules และ Teen Wolf Too เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากงานแสดงภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง Fast Track ที่เขาร่วมแสดงกับแซ็ช แบรฟฟ์ และอาแมนด้า พีต เขายังจะแสดงนำร่วมกับวิลล์ สมิธ และชาร์ลิซ เธียรอน ในภาพยนตร์เรื่อง Hancock และร่วมแสดงกับดัสติน ฮอฟฟ์แมน และนาตาลี พอร์ตแมน ในภาพยนตร์ของแซ็ช เฮล์ม เรื่อง Mr. Magorium’s Wonder Emporium ซึ่งจะเปิดตัวฉายในช่วงปลายปี 2007 นี้

เจเรมี่ ไพเว่น (Jeremy Piven) รับบทเดม่อน ชมิดต์
เจเรมี่ ไพเว่นเคยได้รับคำชม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลเอ็มมี่ จากซีรีส์ของเอชบีโอ เรื่อง Entourage

เมื่อเร็วๆ นี้ ไพเว่นแสดงนำในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ เรื่อง Smokin’ Aces เขายังแสดงนำในผลงานการกำกับเรื่องแรกของสก็อตต์ มาร์แชลล์ เรื่อง Keeping Up with the Steins ในปี 2005 เขาร่วมแสดงกับอัล ปาชิโน่ และแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ ในภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับการพนันในแวดวงกีฬา เรื่อง Two For the Money

ไพเว่นมีผลงานภาพยนตร์มากกว่า 40 เรื่อง อาทิเช่น Chasing Liberty, Scary Movie 3, Runaway Jury, Old School, Serendipity, Black Hawk Down, Very Bad Things, Rush Hour 2 และ The Family Man

แดนนี่ ฮูสตัน (Danny Huston) รับบทกิเดียน ยัง
แดนนี่ ฮูสตันเป็นทั้งมือเขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง เขาเริ่มเข้าวงการด้วยการร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง Ivansxtc ซึ่งทำให้ฮูสตันได้รับคำชมไปเต็มๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขามีงานแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเร็วๆ นี้ ฮุสตันร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ดราม่าของผู้กำกับ อัลฟอนโซ่ คัวรอน เรื่อง Children of Men ในปี 2007 นี้ ฮูสตันยังมีผลงานการแสดงฝากเอาไว้ในผลงานเรื่องที่ 2 ของเดวิด สเลด เรื่อง 30 Days of Night ซึ่งเขาร่วมแสดงกับจอช ฮาร์ตเน็ตต์ ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง How to Lose Friends & Alienate People ซึ่งนำแสดงโดยเคิร์สเตน ดันสต์ และไซม่อน เพ็กก์

ในปีที่แล้ว ฮูสตันแสดงนำในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมของออสเตรเลีย เรื่อง The Proposition และยังร่วมแสดงอยุ่ในภาพยนตร์ของโซเฟีย คอปโปล่า เรื่อง Marie Antoinette

ในปี 2005 เขามีผลงานการแสดงอยู่ในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง The Constant Gardener ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล Golden Satellite Award สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม

ในปี 2004 ฮูสตันร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง The Aviator ซึ่งนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และอเล็ค บอลด์วิน เขายังแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Birth ที่มีนิโคล คิดแมนเป็นดารานำ และเรื่อง 21 Grams ผลงานการกำกับของอเลยานโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู

ริชาร์ด เจนกิ้นส์ (Richard Jenkins) รับบทเจมส์ เกรซ
ริชาร์ด เจนกิ้นส์มีประวัติผลงานที่น่าประทับใจไม่น้อย เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากงานถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่เรื่อง The Visitor ผลงานของผู้กำกับโธมัส แม็คคาร์ธี่ และเรื่อง The Broken ของผู้กำกับฌอน เอลลิส


ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ปี 2005 เรื่อง North Country ที่นำแสดงโดยชาร์ลิซ เธียรอน, Fun With Dick and Jane ที่นำแสดงโดยจิม แคร์รี่ย์ และเทีย ลีโอนี่, ภาพยนตร์ของร็อบ ไรเนอร์ เรื่อง Rumor Has It... ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ อนิสตัน


ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเจนกิ้นส์ ได้แก่ Shall We Dance, Cheaper by the Dozen, ภาพยนตร์ของพี่น้องโคเอน เรื่อง Intolerable Cruelty และ The Man Who Wasn’t There, ภาพยนตร์ของพี่น้องฟาร์เรลลี่ เรื่อง Say it Isn’t So, Me, Myself & Irene และ There’s Something About Mary, ภาพยนตร์ของไมก์ นิโคลส์ เรื่อง Wolf, One Night at McCool’s, ภาพยนตร์ของซิดนี่ย์ พอลแล็ค เรื่อง Random Hearts, The Mod Squad, ภาพยนตร์ของคลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง Absolute Power, Flirting With Disaster (ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award), The Indian in the Cupboard, It Could Happen to You, How to Make an American Quilt, The Witches of Eastwick, Little Nikita, Sea of Love, ภาพยนตร์ของลอว์เรนซ์ แคสแดน เรื่อง Silverado และภาพยนตร์ของวูดี้ อัลเลน เรื่อง Hannah and Her Sisters

แอชรัฟ บารอม (Ashraf Barhom) รับบทพันเอก อัล กาซี
เมื่อเร็วๆ นี้ แอชรัฟ บารอมร่วมแสดงเป็นผู้นำของนักต่อสู้ ในภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2005 เรื่อง Paradise Now

ก่อนจะก้าวมาสู่งานแสดงภาพยนตร์ บารอมคือดาราที่มีประสบการณ์มากมายจากละครเวที เขาเริ่มแสดงภาพยนตร์ในปี 2001 ด้วยผลงานของอีเลีย ซูไลมาน เรื่อง Yadon ilaheyya (Divine Intervention) ซึ่งคว้ารางวัล Jury Prize ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ต่อมา เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ของอิสราเอล จากบทนำในภาพยนตร์ของอาลี แนสซาร์ เรื่อง The Ninth Month (2003) The Kingdom คือภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของบารอม

อาลี ซูไลมาน (Ali Suliman) รับบทสิบเอกเฮย์แธมเมื่อเร็วๆ นี้ อาลี ซูไลมานได้แสดงนำในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมในปี 2005 เรื่อง Paradise Now โดยเขารับบทเป็นหนึ่งในเพื่อนสองคนที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก ที่เข้าร่วมกับผู้ก่อการร้ายในปฏิบัติการระเบิดพลีชีพในเทลอาวีฟ

ซูไลมานประเดิมงานแสดงภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกด้วยเรื่อง The Kingdom

ประวัติทีมผู้สร้าง
ปีเตอร์ เบิร์ก (Peter Berg) – ผู้กำกับ
ปีเตอร์ เบิร์กชอบผลงานที่มีเรื่องราวท้าทายและน่าสนใจทั้งในฐานะมือเขียนบท ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และนักแสดง เขาเริ่มประเดิมผลงานการกำกับชิ้นแรกด้วยเรื่อง Very Bad Things ที่นำแสดงโดยคาเมรอน ดิอาซ, จอน แฟฟโรว์ และคริสเตียน สเลเตอร์ ต่อมา เบิร์กได้มากำกับภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่องฮิต The Rundown ที่นำแสดงโดยเดอะร็อค, ฌอนน์ วิลเลี่ยม สก็อตต์, โรซาลิโอ ดอว์สัน และคริสโตเฟอร์ วอลเก้น ติดตามมาด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง Friday Night Lights ซึ่งนำแสดงโดยบิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน

หลังจาก The Kingdom เบิร์กจะมีผลงานเรื่องต่อไปเป็นภาพยนตร์ระดับเอพิคเรื่อง Hancock ที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธ โดยเขาได้เริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

ในฐานะนักแสดง เบิร์กเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทบาทในภาพยนตร์ของจอห์น ดัห์ล เรื่อง The Last Seduction เมื่อเร็วๆ นี้ เขาร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของไมเคิล มานน์ เรื่อง Collateral ที่เขาได้ร่วมแสดงกับทอม ครูซ และเจมี่ ฟ็อกซ์ และภาพยนตร์ของโจ คาร์นาแฮน เรื่อง Smokin’ Aces ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเบิร์ก ได้แก่ Cop Land ที่เขาร่วมแสดงกับซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, The Great White Hype ที่เขาร่วมแสดงกับซามวล แอล แจ็คสัน, ภาพยนตร์ของสไปก์ ลี เรื่อง Girl 6, ภาพยนตร์ของเวส คราเว่น เรื่อง Shocker, Late for Dinner, ภาพยนตร์ของคีธ กอร์ดอน เรื่อง A Midnight Clear และ Fire in the Sky

แมทธิว ไมเคิล คาร์นาแฮน (Matthew Michael Carnahan) – ผู้เขียนบท
เมื่อเร็วๆ นี้ แมทธิว ไมเคิล คาร์นาแฮนได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Variety ว่าเป็นหนึ่งใน “สิบผู้เขียนบทที่น่าจับตามองที่สุดของฮอลลีวู้ด” The Kingdom คือบทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ถูกนำมาสร้าง

คาร์นาแฮนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย หลังเหตุการณ์ 9/11 คาร์นาแฮนเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ตามคำสนับสนุนจากพี่ชายของเขา เขาเขียนบทภาพยนตร์ทริลเลอร์เกี่ยวกับตำรวจเรื่อง Soldier Field (วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในชิคาโก้ ที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน) บทภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดไปสะดุดสายตาของปีเตอร์ เบิร์ก ผู้เลือกให้เขามาเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Kingdom โดยอิงจากไอเดียของเบิร์ก

ไมเคิล มานน์ (Michael Mann) – ผู้อำนวยการสร้าง
ไมเคิล มานน์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีทั้งในฐานะผู้กำกับ มือเขียนบท และผู้อำนวยการสร้าง เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 4 รางวัลจากภาพยนตร์เรื่อง Insider และจากการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Aviator เขายังมีชื่อเสียงจากงานภาพยนตร์ดราม่ามากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น Thief, Manhunter, The Last of the Mohicans, Heat, The Insider, Ali และ Collateral

ในช่วงกลางยุค 1970 มานน์เริ่มต้นเข้าวงการโดยทำงานเป็นมือเขียนบทให้กับผลงานทางทีวี เขาได้เขียนบทให้กับซีรีส์เรื่อง Police Story, ตอนแรกๆ ของ Starsky & Hutch และซีรีส์เรื่อง Vega$ ในปี 1979 เขากำกับและร่วมเขียนบทภาพยนตร์ดราม่าเรื่องแรกของเขา The Jericho Mile (ฉายทางทีวี) จนได้รับ 4 รางวัลเอ็มมี่ และได้รับรางวัลจากสมาคมผู้กำกับ

ในปี 1981 มานน์กำกับภาพยนตร์จอเงินเรื่องแรกด้วยเรื่อง Thief ซึ่งนำแสดงโดยเจมส์ คานน์, ทิวส์เดย์ เวลด์, วิลลี่ เนลสัน และจิม เบลูชี่ ติดตามมาด้วยผลงานในปี 1983 เรื่อง The Keep ที่นำแสดงโดยแกเบรียล เบิร์น, สก็อตต์ เกลนน์ และเอียน แม็คเคลเลน ในปี 1986 เขากำกับภาพยนตร์เรื่อง Manhunter จากนิยายเล่มแรกจากนิยายชุดฮันนิบาล เล็คเตอร์ ของโธมัส แฮร์ริส เรื่อง “Red Dragon” โดยมีไบรอัน ค็อกซ์รับบทเป็นเล็คเตอร์

ในปี 1992 มานน์กำกับ ร่วมเขียนบท และอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Last of the Mohicans ซึ่งนำแสดงโดยแดเนียล เดย์-ลูอิส และแมเดลีน สโตว์ ผลงานการกำกับเรื่องต่อมาของเขาก็คือ Heat ในปี 1995 จากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนขึ้นเอง

ในปี 1999 มานน์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากการร่วมเขียนบท กำกบ และอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Insider ที่นำแสดงโดยรัสเซลล์ โครว์ และอัล ปาชิโน่

ในปี 2001 เขาพาคนดูไปสัมผัสหัวใจและการดิ้นรนต่อสู้ของนักมวยผู้เป็นตำนานอย่างโมฮัมหมัด อาลี ในภาพยนตร์เรื่อง Ali โดยมีวิลล์ สมิธรับบทเป็นอาลี จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในปี 2002 เขาอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Robbery Homicide Division ให้กับซีบีเอส

ในปี 2004 มานน์กำกับภาพยนตร์เรื่อง Collateral ซึ่งนำแสดงโดยทอม ครูซ และเจมี่ ฟ็อกซ์ เจ้าของรางวัลออสการ์

ในปี 2004 เช่นกันที่มานน์อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของฮาวเวิร์ด ฮิวจ์ส เรื่อง The Aviator ที่กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี่ และนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และเคต แบลนเช็ตต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 11 สาขา และแบลนเช็ตต์คว้ารางวัลออสการ์ได้ในสาขาดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยม

เมื่อไม่นานมานี้ มานน์เขียนบท อำนวยการสร้าง และกำกับภาพยนตร์เรื่อง Miami Vice ที่นำแสดงโดยโคลิน ฟาร์เรลล์, เจมี่ ฟ็อกซ์, กงลี่ และนาโอมี่ แฮร์ริส

ปัจจุบัน มานน์อยู่ระหว่างทำหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์ใหม่ของผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์ก เรื่อง Hancock ซึ่งนำแสดงโดยวิลล์ สมิธ และชาร์ลิซ เธียรอน

สก็อตต์ สตูเบอร์ (Scott Stuber) - ผู้อำนวยการสร้าง
ในเดือนสิงหาคม ปี 2005 ผู้อำนวยการสร้าง สก็อตต์ สตูเบอร์ พร้อมด้วยหุ้นส่วนของเขา แมรี่ พาเร้นต์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) ได้ก่อตั้งบริษัทสตูเบอร์/ พาเร้นต์ และได้ทำสัญญานานห้าปีกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ก่อนหน้านั้น สตูเบอร์เคยเป็นประธานฝ่ายโปรดักชั่นของยูนิเวอร์แซลมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2001 โดยเขาได้เข้าทำงานกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายโปรดักชั่นมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 1997

ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ทำงานให้กับยูนิเวอร์แซล สตูเบอร์ได้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมและประสบความสำเร็จทางด้านรายได้มากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น King Kong, Jarhead, A Beautiful Mind, Seabiscuit, Cinderella Man, Munich, Meet the Parents, Meet the Fockers, The Bourne Identity, The Bourne Supremacy, About a Boy, The 40-Year-Old Virgin, 8 Mile, Spy Game, The Family Man, The Nutty Professor, Nutty Professor II: The Klumps, Miami Vice, ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง The Mummy, ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง American Pie, ภาพยนตร์ชุด The Fast and the Furious, Friday Night Lights, Bring It On และอื่นๆ

ในฐานะผู้อำนวยการสร้างอิสระ สตูเบอร์ได้ช่วยสร้างภาพยนตร์ที่มีความหลากหลายทีเดียว อาทิเช่นภาพยนตร์ตลกที่ประสบความสำเร็จอย่าง The Break-Up ที่ทำรายได้จากทั่วโลกไปถึง $200 ล้าน ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่สตูเบอร์สร้างขึ้นภายใต้ชื่อบริษัทสตูเบอร์/ พาเร้นต์ ก็คือภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เรื่อง You, Me and Dupree ที่ทำรายได้จากทั่วโลกไปกว่า $130 ล้าน

ปัจจุบัน สตูเบอร์อยู่ระหว่างดูแลงานโพสต์โปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่อง The Better Man ที่นำแสดงโดยมาร์ติน ลอว์เรนซ์ และกำกับโดยมัลคอล์ม ดี ลี

ผลงานเรื่องอื่นๆ ของสตูเบอร์ในเวลานี้ ยังรวมถึงภาพยนตร์ตลกเรื่อง Sober Buddies ซึ่งแสดงนำโดยจิม แคร์รี่ย์, Devil in the Junior League ที่แสดงนำโดยเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์, The Prisoner ที่กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน, Traveling ที่สร้างจากบทภาพยนตร์ของแบรนดอน แค้มป์, Hard Sell ที่สร้างจากหนังสือของเจมี่ ไรดี้ และภาพยนตร์ตลกเรื่อง I, Thalus ที่วางตัวปีเตอร์ ซีกัลเอาไว้ในฐานะผู้กำกับ

แมรี่ พาเร้นต์ (Mary Parent) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ในเดือนสิงหาคม ปี 2005 แมรี่ พาเร้นต์ได้ผันตัวเองจากตำแหน่งรองประธานฝ่ายเวิร์ลด์ไวด์ โปรดักชั่นของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ไปเป็นการทำสัญญานานห้าปีกับยูนิเวอร์แซล ร่วมกับสก็อตต์ สตูเบอร์

ภาพยนตร์เรื่องแรกภายใต้ชื่อบริษัทของพาเร้นต์และสตูเบอร์ ก็คือ You, Me and Dupree ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไป $130 ล้าน ปัจจุบัน บริษัทแห่งนี้อยู่ระหว่างทำงานโพสต์โปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่อง The Better Man ที่นำแสดงโดยมาร์ติน ลอว์เรนซ์ และกำกับโดยมัลคอล์ม ดี ลี และยังอยู่ระหว่างเตรียมงานสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Big Brothers ที่นำแสดงโดยพอล รัดด์ และฌอนน์ วิลเลี่ยม สก็อตต์ และกำกับโดยเดวิด เวน (The Ten, Wet Hot American Summer), Repossession Mambo ที่กำกับโดยมิเกล ซาพอชนิก และนำแสดงโดยจู๊ด ลอว์ และฟอเรสต์ วิเทเกอร์ และเรื่อง The Wolfman ที่กำกับโดยมาร์ก โรมาเน็ก (One Hour Photo) และนำแสดงโดยเบนิซิโอ เดล โทโร่

สมัยที่ยังทำงานเป็นรองประธานฝ่ายเวิร์ลด์ไวด์ โปรดักชั่นของยูนิเวอร์แซล พาเร้นต์ได้ดูแลงานสร้างของภาพยนตร์มากมาย อาทิเช่น King Kong ผลงานการกำกับของปีเตอร์ แจ็คสัน ที่นำแสดงโดยนาโอมี่ วัตต์ส, เอเดรียน โบรดี้ และแจ็ค แบล็ค, The 40-Year-Old Virgin ที่กำกับโดยจัดด์ อาปาโทว์ และนำแสดงโดยสตีฟ คาเรลล์ และเรื่อง Serenity ภาพยนตร์ผจญภัยไซไฟจากจอสส์ วีดอน

ก่อนจะมาทำงานกับยูนิเวอร์แซล พาเร้นต์เคยทำงานให้กับนิวไลน์ซีนีม่า ที่เธอเริ่มทำงานมาตั้งแต่ปี 1994 เธอเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Pleasantville และ Set It Off
สตีเว่น เซต้า (Steven Saeta) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

สตีเว่น เซต้าคือทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัวที่ทำงานอยู่ในฮอลลีวู้ด โดยก่อนหน้านี้ก็คือพ่อของเขา เอ๊ดเวิร์ด เซต้า และแซม ปู่ของเขา ซึ่งเคยดูแลแผนกไฟฟ้าให้กับโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภายใต้การบริหารของแฮร์รี่ คอห์น

เซต้าเริ่มต้นทำงานด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับและผู้จัดการกองถ่าย และยังเป็นผู้บริหารสตูดิโอให้กับไทร์สตาร์ พิคเจอร์ส ก่อนจะสำเร็จการศึกษา และมาทำหน้าที่เป็นแอสโซซิเอต โปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์อย่างเรื่อง Fools Rush In, Forces of Nature, Almost Famous, Tears of the Sun, Spider-Man และ The Island

ซาร่าห์ ออบรีย์ (Sarah Aubrey) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

ซาร่าห์ ออบรีย์ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์กหลังจากที่เธอเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์ดราม่าปี 2004 ของเขา เรื่อง Friday Night Lights นอกจากนี้เธอยังเป็นหุ้นส่วนในบริษัทฟิล์ม 44 ของเขาด้วยแต่เดิม ออบรีย์เคยทำงานเป็นทนายประจำวงการบันเทิง ต่อมาเธอได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้าง จอห์น คาเมรอน หลังจากทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของพี่น้องฟาร์เรลลี่ เรื่อง Bad Santa ที่นำแสดงโดยบิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างร่วมงานกับคาเมรอนอีกครั้งในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Lars and the Real Girl ที่นำแสดงโดยไรอัน กอสลิ่ง และแพทริเซีย คล๊าร์กสัน

จอห์น คาเมรอน (John Cameron) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
จอห์น คาเมรอนได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์กอีกครั้งหลังจากที่เคยทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับภาพยนตร์ปี 2004 ของเบิร์ก เรื่อง Friday Night Lights

คาเมรอนร่วมงานกับพี่น้องโคเอนมานาน โดยครั้งแรกเขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Hudsucker Proxy และมาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง Fargo รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของสองพี่น้องอย่างเรื่อง The Big Lebowski, O Brother, Where Art Thou?, The Man Who Wasn’t There, Intolerable Cruelty และ The Ladykillers คาเมรอนยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลกเรื่อง Bad Santa ซึ่งสองพี่น้องโคเอนทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

คาเมรอนยังเคยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับภาพยนตร์ของผู้กำกับ แซม ไรมิ หลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น Crimewave, Darkman, Army of Darkness และ The Quick and the Dead เขายังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับภาพยนตร์ของริชาร์ด ลิงกลาเตอร์ เรื่อง Dazed and Confused และภาพยนตร์ตลกบล็อกบัสเตอร์ของแบร์รี่ ซอนเนนเฟลด์ เรื่อง Men in Black นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์ตลกคว้ารางวัลของเวส แอนเดอร์สัน เรื่อง Rushmore ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ตลกเรื่อง Lars and the Real Girl ที่นำแสดงโดยไรอัน กอสลิ่ง และแพทริเซีย คล๊าร์กสัน

ไรอัน คาวานอห์ (Ryan Kavanaugh) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ไรอัน คาวานอห์คือผู้นำของบริษัทเรเลทิวิตี้ มีเดีย, แอลแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทการเงิน ที่ปรึกษาและโปรดักชั่นที่วางโครงสร้างการเงินให้กับภาพยนตร์ของทั้งบริษัทระดับเมเจอร์และบริษัทสร้างภาพยนตร์อิสระ

เขาได้ดูแลเรื่องการเงินและทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์สองเรื่องของบริษัทแอ็ตมอสเฟียร์ เอนเตอร์เทนเม้นต์ เอ็มเอ็ม ของมาร์ก แคนตัน เรื่อง George A. Romero’s Land of the Dead และ Full of It เมื่อเร็วๆ นี้ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Gridiron Gang และ I Now Pronounce You Chuck & Larry

มอโร ฟีโอเร่ เอเอสซี (Mauro Fiore, ASC) – ผู้กำกับภาพ
เมื่อไม่นานมานี้ มอโร ฟีโอเร่ได้ทำหน้าที่กำกับภาพให้กับภาพยนตร์ของไมเคิล เบย์ เรื่อง The Island รวมไปถึงภาพยนตร์ตลกเสียดสีของโจ คาร์นาแฮน เรื่อง Smokin’ Aces (ซึ่งร่วมแสดงและกำกับโดยปีเตอร์ เบิร์ก) เขายังได้ร่วมงานกับผู้กำกับอังตวน ฟูควา ในภาพยนตร์สองเรื่อ งได้แก่ Training Day (ซึ่งทำให้เดนเซล วอชิงตันคว้ารางวัลเกียรติยศ) และภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Tears of the Sun ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส

ฟีโอเร่เคยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของผู้กำกับภาพ จานุสซ์ กามินสกี้ ในภาพยนตร์เรื่อง Schindler’s List (ซึ่งกามินสกี้ได้รับรางวัลออสการ์ตัวแรก), Amistad และ The Lost World: Jurassic Park

ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในฐานะผู้กำกับภาพ ได้แก่ ผลงานการกำกับของกามินสกี้ เรื่อง Lost Souls ติดตามมาด้วยภาพยนตร์ดราม่าของเรนนี่ ฮาร์ลิน เรื่อง Driven และภาพยนตร์ดราม่าของเวย์น หวัง เรื่อง The Center of the World ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Get Carter, Highway, Love From Ground Zero, An Occasional Hell, Breaking Up, Soldier Boyz และ Dominion

เขายังเป็นผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Rock และ Armageddon และได้ทำงานกับภาพยนตร์เรื่อง The Adventures of Huck Finn, Vida Loca และ One False Move

ทอม ดัฟฟิลด์ (Tom Duffield) – โปรดักชั่นดีไซเนอร์
ทอม ดัฟฟิลด์ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์ก หลังจากที่เคยทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดฮิตในปี 2003 เรื่อง The Rundown

ดัฟฟิลด์ศึกษามาทางด้านสถาปัตยกรรม ขณะเดียวกัน ในช่วงซัมเมอร์ เขาจะทำงานเป็นไกด์อยู่ในยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ ต่อมา เขาได้ทำงานกับแผนกศิลปกรรมของยูนิเวอร์แซลในปี 1976 และทำงานอยู่ที่นั่นนาน 3 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นนักออกแบบฉากอิสระให้กับภาพยนตร์คลาสสิกของริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง Blade Runner

เขาได้ร่วมงานกับโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ โบ เวลช์ ในปี 1986 โดยทำงานให้กับภาพยนตร์ของโจนาธาน เด็มมี่ เรื่อง Swing Shift เขายังทำหน้าที่เป็นผู้กำกับศิลป์ให้กับเวลช์ ในภาพยนตร์ถึง 15 เรื่อง ซึ่ง 3 เรื่องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ได้แก่ A Little Princess, Men in Black และ The Birdcage

ดัฟฟิลด์ได้ทำหน้าที่เป็นโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ให้กับภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Ed Wood เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ออกแบบฉากให้กับภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องฮิตของกอร์ เวอร์บินสกี้ เรื่อง The Ring และได้กลับมาร่วมงานกับเวอร์บินสกี้อีกครั้งในภาพยนตร์ตลกเสียดสีเรื่อง The Weather Man

ผลงานเรื่องอื่นๆ ของดัฟฟิลด์ในตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ ได้แก่ ภาพยนตร์ของไมก์ นิโคลส์ เรื่อง What Planet Are You From?, Primary Colors และ Wolf, ภาพยนตร์ของแบร์รี่ ซอนเนนเฟลด์ เรื่อง Wild Wild West, ภาพยนตร์ของเบอร์ตัน เรื่อง Edward Scissorhands, Batman Returns และ Beetlejuice, ภาพยนตร์ของลอว์เรนซ์ แคสแดน เรื่อง The Accidental Tourist และ Grand Canyon, ภาพยนตร์ของจอห์น แพทริค แชนลี่ย์ เรื่อง Joe Versus the Volcano, ภาพยนตร์ของอิวาน ไรต์แมน เรื่อง Ghostbusters II และภาพยนตร์ของโจล ชูมัคเกอร์ เรื่อง The Lost Boys


เควิน สติทท์, เอซีอี (Kevin Stitt, ACE) – ผู้ลำดับภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้ เควิน สติทท์ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ลำดับภาพลำดับที่ 2 ให้กับภาพยนตร์ดราม่าของเมล กิ๊บสัน เรื่อง Apocalypto

สติทท์เคยร่วมงานกับผู้กำกับจอห์น แบ็ดแฮม (Drop Zone, Nick of Time, Another Stakeout), ไบรอัน เฮลเจแลนด์ (A Knight’s Tale, The Order, Payback), จอห์น วู (Paycheck), ริชาร์ด ดอนเนอร์ (Lethal Weapon 4, Conspiracy Theory) และไบรอัน ซิงเกอร์ (X-Men)

ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สติทท์ทำหน้าที่ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ของเรนนี่ ฮาร์ลิน เรื่อง Deep Blue Sea, ภาพยนตร์ของโจนาธาน มอสโทว์ เรื่อง Breakdown, ภาพยนตร์ของร็อด ลูรี่ เรื่อง The Last Castle, ภาพยนตร์ของร็อบ โบว์แมน เรื่อง Elektra และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผลงานการกำกับเรื่องแรกของสต๊วร์ต แบร์ด เรื่อง Executive Decision

โคลบี้ ปาร์กเกอร์ จูเนียร์ (Colby Parker, JR) – ผู้ลำดับภาพ
โคลบี้ ปาร์กเกอร์เกิดและเติบโตในนิวยอร์กซิตี้ เขาสร้างชื่อให้กับตัวเองจากงานตัดต่อภาพให้กับภาพยนตร์โฆษณาและมิวสิควิดีโอ และต่อมา เขาได้ก่อตั้งบริษัทรับตัดต่อภาพของตัวเองชื่อว่า โคลบี้ ปาร์กเกอร์ จูเนียร์ เอดิโทเรียล

นอกจากการตัดต่อภาพให้กับมิวสิควิดีโอและโฆษณาแล้ว ต่อมา เขายังได้ทำหน้าที่ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์สั้นและได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่คว้ารางวัลมาได้มากมาย อย่างเทอร์รี่ ริชาร์ดสัน, ไมก์ มิลล์ส, ลิตเติล เอ็กซ์ และผู้กำกับวาเลอรี่ ฟาริส และโจนาธาน เดย์ตัน จาก Little Miss Sunshine

หลังจากได้รับข้อเสนอจากปีเตอร์ เบิร์กให้มาลำดับภาพให้กับผลงานทางทีวีเรื่อง Wonderland ปาร์กเกอร์ได้ทำงานต่อ ด้วยการลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Rundown ที่นำแสดงโดยเดอะร็อค, คริสโตเฟอร์ วอลเก้น และโรซาริโอ ดอว์สัน ผลงานเรื่องต่อมาของปาร์กเกอร์ได้แก่ Friday Night Lights ที่นำแสดงโดยบิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน ต่อมา ปาร์กเกอร์ยังได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง The Reaping ที่นำแสดงโดยฮิลารี่ สแวงก์ ซึ่งเข้าโรงฉายไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ซูซาน แม็ทธีสัน (Susan Matheson) – ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ซูซาน แม็ทธีสันยังคงร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์กต่อมา หลังจากที่เคยออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์ดราม่าสุดฮิตของเขาเรื่อง Friday Night Lights

แม็ทธีสันยังได้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์ของผู้กำกับจอห์น สต็อคเวลล์ เรื่อง Blue Crush และ Crazy/Beautiful ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ Dancer, Texas Pop. 81, Best Laid Plans, Panic, Highway, Max Keeble’s Big Move, Honey, A Piece of My Heart และภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Talladega Nights: The Ballad of Ricky Bobby

แดนนี่ เอลฟ์แมน (Danny Elfman) – ผู้แต่งดนตรีประกอบ
แดนนี่ เอลฟ์แมนคือหนึ่งในคอมโพเซอร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของวงการ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากการทำดนตรีให้กับภาพยนตร์เรื่อง Good Will Hunting, Men in Black และ Big Fish เขามีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างสรรค์งานให้กับภาพยนตร์ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน ถึง 13 เรื่อง อาทิเช่น Pee-wee’s Big Adventure, Beetlejuice, Batman (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี่), Edward Scissorhands, Batman Returns, Tim Burton’s The Nightmare Before Christmas (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่), Mars Attacks!, Sleepy Hollow, Planet of the Apes, Big Fish, Charlie and the Chocolate Factory และ Corpse Bride

เอลฟ์แมนยังแต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เพลงรางวัลออสการ์เรื่อง Chicago และภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกอย่าง Spider-Man และ Spider-Man 2 ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Hulk, Red Dragon, Men in Black II, Proof of Life, The Family Man, A Simple Plan, Dolores Claiborne, Dick Tracy ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่, Darkman, Sommersby, Dead Presidents, Black Beauty, To Die For และ Mission: Impossible

เมื่อไม่นานมานี้ เอลฟ์แมนยังได้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง Nacho Libre, Charlotte’s Web, Deep Sea 3D และ Meet the Robinsons ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างแต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Hellboy 2: The Golden Army และ The Sixth Element